@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร พรพรหมอลเวง ตอนที่ 5/4 วันที่ 14 ก.พ. 56

อ่านละคร พรพรหมอลเวง ตอนที่ 5/4 วันที่ 14 ก.พ. 56

“ตอนนี้แม่ภัสกำลังมีปัญหา นายเมธีไม่กลับบ้าน อ้างแต่เรื่องงานตลอด คนอะไรมันจะทำงานหนักได้ขนาดนั้น ถ้าไม่ได้มีเรื่องอย่างว่าน่ะ คุณว่าไหม”
เสกสรรถอนหายใจโล่งอก “เมธีเป็นเจ้าของบริษัท ก็ต้องทำงานหนักกว่าลูกน้องเป็นธรรมดา คุณเมธี ทำงานหนักก็เพื่อครอบครัว คุณภัสก็ไม่น่าคิดมาก”
“ไม่เหมือนคุณใช่ไหมคะ ไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่ก้าวหน้า” ปรางค์ทิพย์ว่า

“ก็ผมมันเป็นแค่ลูกจ้างนี่คุณ จะไปหาความก้าวหน้าได้แค่ไหนกันเชียว เพราะอย่างนี้ไงครับ ผมถึงอยากที่จะลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ทำเองรวยเอง ไปต้องไปช่วยคนอื่นรวยแต่ตัวเองได้เงินเดือนแค่ไม่เท่าไร”



“แล้วทำไมคุณไม่ทำล่ะ ดีแต่พูดอยู่นั่นแหละ”
“ผมจะไปเอาทุนมาจากไหนล่ะเงินเดือนผมก็นิดเดียวเอง ทำไมคุณไม่ลองไปขอมรดกจากคุณย่ามาลงทุนสักก้อนละ ถ้าเรามีเงินเราจะเปิดบริษัท มีคนเอาโครงการดีๆ มาเสนอผมเยอะ” เสกสรรพาภรรยาเดินไปหยิบใบโปรเจคในลิ้นชัก “โปรเจ็คนี้ดีมากเลย แต่ขาดเงินลงทุนนี่แหละ”
ปรางค์ทิพย์อึ้ง
“ขอมรดก นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะคุณสรร”
“เชอะ เมธีท่านยังช่วยเลย ผมก็หลานเขยเหมือนกันนะ หรือ ท่านรักแต่หลานย่า จนไม่เห็นหัวหลานยายเลย”
เสกสรรเดินออกไปจากบ้าน
“เดี๋ยวก่อนสิ คุณสรร”
“ผมต้องรีบไป ผมเป็นลูกจ้างนะ ไม่ใช่เจ้าของกิจการ”
เสกสรรเดินไป ปรางค์ทิพย์มองตามแล้วคิดหนัก

ประภัสสรถือจดหมายในมือแต่ตามองเหม่อ ปรงทองยืนมองแล้วส่ายหน้า
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า แม่ภัส” ปรงทองถาม
ประภัสสรตกใจ “เปล่าค่ะคุณย่า ภัสสบายดี”
“ไม่ต้องมาปดย่า คนไม่มีเรื่องจะอ่านหนังสือกลับหัวหรือ”
ประภัสสรมองจดหมายในมือแล้วหลบตาปรงทอง
“มีเรื่องกับพ่อเมธีใช่มั๊ย บอกย่ามาตามจริงเถอะ”
“ภัสคงแก่เกินไปมั้งคะคุณย่า ไม่เหมือนสาวๆที่ออฟฟิศ คุณเมธีเลยไม่อยากกลับบ้าน”
ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามาได้ยินพอดี
“โถ แม่ภัส เป็นอะไรไปจ๊ะ” ปรางทิพย์พูดกับปรงทอง “สวัสดีค่ะคุณยาย นี่แม่ภัสเธอวิตกเรื่องเมธีใช่มั๊ย”
ประภัสสรก้มหน้า ปรงทองมองปรางค์ทิพย์อย่างเบื่อหน่าย
“พี่บอกเธอแล้วใช่ไหมล่ะว่าอย่าปล่อยตัวเกินไป หัดเอาอกเอาใจคุณเมธีเค้าบ้างเค้าจะได้ไม่เบื่อ ผู้ชายนะเค้าก็ต้องชอบอะไรที่มันเจริญหูเจริญตาเป็นธรรมดา จริงไหมคะคุณยาย”
“นี่วันนี้เธอไม่มีงานอะไรทำหรอกเหรอแม่ปรางค์” ปรงทองว่า
“แหมคุณยายก็ ลูกก็ไปโรงเรียนแล้ว ปรางก็ว่างทั้งวันแหล่ะค่ะ สู้แม่ภัสก็ไม่ได้ ได้ทำงานมูลนิธิ ใครๆก็รู้ว่า ได้ช่วยเหลือสังคม มีหน้ามีตา รู้ไม๊คะ เด็กในบ้านมันพูดเหมือนกันหมดเลย ว่าคุณย่าน่ะ ไม่ยุติธรรม”
“เด็กในบ้านพูด หรือเราพูด มีอะไรในใจก็พูดมา ว่าชั้นไม่ยุติธรรมยังไง อย่ามากระทบกระเทียบให้เสียเวลา ที่ชั้นให้แม่ภัสมาทำงานที่มูลนิธิ เพราะแม่ภัสสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ไม่ชอบทำธุรกิจ ชั้นจึงเลือกงานให้เหมาะกับคน”
“ก็นั่นแหละค่ะ ปรางค์ก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณยายนะคะ เพียงแต่อยากให้คุณย่ายุติธรรม เมตตาครอบครัวปรางบ้าง”
“งั้นก็พูดมาตรงๆ แกจะให้ชั้นทำยังไงถึงเรียกว่ายุติธรรม”
ปรางค์ทิพย์ยิ้มประจบ
“เอ่อ คือ ปรางค์อยากจะมารบกวนขอทุนจากคุณยาย ให้คุณสรรไปเปิดบริษัท จะได้มีกิจการเป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างคนอื่นน่ะค่ะ”
ปรงทองหน้าเครียดและถอนหายใจ

ประภัสสรกับปรางค์ทิพย์เดินมาพร้อมกัน
“แม่ภัส เธอต้องช่วยพี่นะ เงินแค่นี้ ถ้าเธอสนับสนุนพี่ คุณยายต้องยอม”
ประภัสสรอ้ำอึ้ง “แต่เรื่องแบบนี้ ต้องแล้วแต่คุณย่านะคะ ภัสไม่กล้า...”
“ถ้าเธอไม่ช่วย แสดงว่าเธอไม่อยากให้ได้ดี ถ้าเธอคิดอย่างนั้นพี่จะเสียใจมาก เพราะพี่ทั้งรักและหวังดีกับเธอมาตลอดคอยดูแลเธอดีซะยิ่งกว่าผัวเธอซะอีกนะแม่ภัส คุณยายต้องฟังเธออยู่แล้วเพราะเธอมันหลานรัก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะพี่ปรางค์ คุณย่าน่ะยุติธรรมเสมอละคะ แต่ท่านจะมีเหตุผลของท่านน่ะค่ะ ว่าอะไรเหมาะอะไรควร ท่านถึงได้ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ไงคะ”
“ไม่รู้ละ ถ้าคุณย่าไม่ยอมช่วยพี่ แสดงว่าเธอกับคุณย่าไม่สนับสนุนพี่ กับคุณสรร พี่จะได้จำเอาไว้”
ปรางค์ทิพย์เดินไป ประภัสสรอึดอัด

ปฐวีและหนึ่งฤทัยไปเยี่ยมตันหยงที่ห้องพัก
“คนไข้เริ่มมีปฏิกริยาตอบสนองอะไรบ้างรึเปล่าครับ” ปฐวีถาม
“เหมือนเดิมค่ะ ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยค่ะ” หนึ่งฤทัยบอก
“มีวิธีไหนที่จะกระตุ้นให้ลูกผม มีปฏิกิริยาตอบรับบ้างมั๊ยครับ” พินิจถาม
“หมอคะ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ ชั้นต้องบ้าตายแน่ๆเลย” บุหงาบอก
“ผมอ่านพบเคสคล้ายๆ ของคุณตันหยง ที่อเมริกา มีการทดลองให้คนใกล้ชิด หรือคนที่ผูกพันกับคนไข้มากๆ พูดคุยกับคนไข้บ่อยๆ อาจจะทำให้อาการดีขึ้นนะครับ”
“จริงหรือคะคุณหมอ”
“จริงครับ แต่ว่าไม่มีสถิติแน่ชัดว่าได้ผลแค่ไหน เป็นเพียงแต่เป็นการทดลองเท่านั้น”
พินิจและบุหงามองหน้ากันอย่างมีหวัง
“ครับ ขอแค่มีความหวัง ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณหมอด้วยนะครับ” พินิจบอก
“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”
ปฐวีมองตันหยงแล้วยิ้มให้พินิจ
“ลองดูนะคะ ลองหลายๆทางไม่มีอะไรเสียหาย เผื่อจะได้ผล” หนึ่งฤทัยบอก
พินิจกับบุหงามองหน้ากัน

พิรามนั่งทำงานอยู่ในห้อง พัดชาเปิดประตูเข้ามาในสภาพข้อมือมีผ้าพันแผล เธอเอาหนังสือแต่งตั้งมาขว้างลงที่โต๊ะทำงานของพิรามอย่างแรง พิรามมองเฉย
“คุณส่งชั้นไปคุมโปรเจ็คที่ภูเก็ตใช่มั๊ย” พัดชาถาม
“ใช่”
“คุณทำแบบนี้ทำไม คุณนึกเหรอว่าชั้นจะยอมไปง่ายๆ”
พิรามพูดเรียบๆ “ถ้าคุณไม่ไป ผมไปเองก็ได้”
พิรามลุกขึ้น พัดชายืนขวางไม่ยอมให้ไป
“เราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง”
“พัดชา ผมพูดทุกอย่างไปหมดแล้ว”
พัดชาจ้องหน้าพิราม
“เรื่องระหว่างเรามันคือความผิดพลาดนะพัดชา คุณบอกผมเองว่าคุณไม่คิดจริงจัง แต่ผมก็พยายามรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำลงไป ทั้งๆที่ผมไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
พัดชาอับอายจึงเบือนหน้าหนี
“ผมเสียใจจริงๆ พัดชา เราสองคนทำผิดกับตันหยงมามากแล้ว การที่ตันหยงเป็นแบบนี้ เพราะเรา เราสองคน ถึงเวลาที่เราควรจะหยุดได้แล้ว พัดชา ได้โปรดเถอะ หยุดเรื่องนี้ซะที”
พัดชาจุกกับคำพูดของพิราม พัดชาจ้องหน้าพิรามก่อนจะหันหนีแล้วเดินออกจากห้องไป พิรามนั่งที่เก้าอี้ด้วยความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ตัวเองกระทำและเสียใจจนต้องหลับตาลง
เวลาผ่านไป พิรามดูรูปตันหยงแล้วตัดสินใจเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เขาลุกขึ้นเดินออก

พินิจกับบุหงานั่งมองหน้ากัน พิรามที่นั่งตรงข้ามก้มหน้าสำนึกผิด
“ผมเข้าใจถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังโกรธผม ผมยอมรับผิดทุกอย่าง จะตำหนิว่าผมยังไงผมก็ยอม แต่ขอโอกาสให้ผมได้ดูแลตันหยง”
บุหงาเมินหน้าหนี
“เธอยังมาขอโอกาศอีกเหรอ หยงเป็นแบบนี้เพราะเธอใช่ไม๊ ชั้นเสียใจจริงๆ เสียใจที่มองคนผิดไป”
“ผมขอโทษ ผมแก้ไขในสิ่งที่ผมทำผิด ผมทำลายความไว้ใจของตันหยง และคุณพ่อคุณแม่ เป็นเพราะไม่หนักแน่นพอ ตั้งแต่เกิดเรื่องไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่เสียใจ ผมเหมือนตกนรกทั้งเป็น........ ใจผมจะขาดอยู่แล้วครับ”
บุหงาทำท่าจะโวยวายแต่พินิจรีบปราม
“พ่อรู้ว่าพิรามไม่ใช่คนเลวร้าย มนุษย์เรา ทำผิดพลาดกันได้ คนเราถ้ายอมรับผิดอย่างลูกผู้ชายได้ เค้าก็ควรได้รับโอกาสที่สอง”
พิรามเงยมองพินิจอย่างมีหวัง
พินิจหันไปพูดกับภรรยา “และที่หยงต้องเป็นแบบนี้ มันก็เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ อย่าไปโทษพิรามเค้าเลย”
บุหงามองหน้าพินิจแล้วมองพิรามแบบตัดพ้อ ก่อนจะซบหน้าร้องไห้ที่ไหล่พินิจ
“ขอบคุณมากครับ ผมสัญญา ว่าจากนี้ไป ผมจะดูแลตันหยงไปตลอด และผมจะไม่ทำอะไรผิดพลาดอีก ผมสัญญาครับ”
บุหงามองหน้าพินิจเป็นเชิงถาม พินิจพยักหน้า ทุกคนหันไปมองร่างตันหยงที่นอนอยู่

เด็กนักเรียนกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสนาม สุดนภากับเมรินยืนอยู่ด้วยกันที่หน้าประตู เมรินมองเด็กวิ่งเล่นรอบๆตัวอย่างเบื่อๆ ปฐวีเดินเข้ามา สุดนภาเห็นปฐวีก็รีบทักอย่างอ่อนหวาน
“คุณหมอวีมารับเองเลยนะคะ”
“ครับครูบี๋ วันนี้น้องเมย์เป็นยังไงบ้างครับ ดื้อหรือเปล่า”
สุดนภามองเมริน เมรินเมินหน้า
“ทำไมไม่สวัสดีน้าวีก่อนล่ะ”
เมรินยกมือไหว้อย่างไม่เต็มใจ
“สงสัยวันนี้น้องเมย์นอนไม่เต็มตาน่ะค่ะ เลยหงุดหงิด”
เมรินค้อน สุดนภาเลยหันไปยิ้มหวานให้ปฐวี นาวินเดินเข้ามา
“เฮ้ย ไอ้วี วันนี้มาทั้งส่งทั้งรับน้องเมย์เลย” นาวินชำเลือง “เลยมีบางคนหน้าบานเชียว”
สุดนภาตกใจว่านาวินจับได้รึเปล่า เธอทำเป็นมองซ้ายมองขวาว่านาวินพูดถึงใคร
ปฐวีชี้เพื่อน “แซวแบบนี้ เดี๋ยวมาทุกวันเลย”
นาวินยกมือห้าม “ไม่ต้อง ไม่ต้องมาบ่อยก็ได้นะ มาที ครูแถวนี้สติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
สุดนภาอายมากและแค้นนาวิน ปฐวีขำแล้วส่ายหัว เมรินมองทุกคนแล้วพูดตัดบท
“เมย์อยากกลับบ้านค่ะ”
ปฐวีแกล้งพูดหวานเพื่อยั่วเพื่อน “งั้นผมไปก่อนนะครับครูบี๋” ปฐวียิ้มกวนนาวิน “ชั้นไปก่อนนะ”
นาวินมองสุดนภาที่ยิ้มปลื้มให้ปฐวีแล้วก็แค้น นาวินเดินเข้ามาใกล้สุดนภาแล้วจะชวนคุย
“...จะมองส่งกันถึงบ้านเลยเหรอครับ” นาวินมองสุดนภา “พูดแค่นี้ต้องทำถอนหายใจ”
สุดนภามองนาฬิกาแล้วเชิดเปลี่ยนคาแรคเตอร์ “หมดเวลางานแล้ว ขอตัวกลับก่อน”
สุดนภาเดินไปแบบไม่สนใจนาวิน นาวินมองตามด้วยความหมั่นไส้
“เปลี่ยนบุคลิกได้ชัดมาก”

ปฐวีกับเมรินเดินมาขึ้นรถ
“เป็นไงคะน้องเมย์ มาโรงเรียนวันแรกสนุกไหมคะ”
“มาโรงเรียนนะคะไม่ได้ไปเที่ยวสวนสนุก สักกะหน่อยถึงจะได้สนุก” เมรินย้อน
ปฐวีขำ “กวนใช่ไหมเราเนี่ย เดี๋ยวโดน”
ปฐวีทำท่าจะหอมและฟัดเมริน เมรินขยับตัวหนี
“อย่านะ นี่มันในโรงเรียนอย่ามาโดนตัวน้องเมย์นะคะ น้าวีเป็นผู้ชาย น้องเมย์เป็นผู้หญิงเดี๋ยว ใครมาเห็นเข้ามันไม่ดีค่ะ”
ปฐวีหัวเราะก๊าก “นี่นาวีนะ ทำไมต้องหวงเนื้อหวงตัว” ปฐวีคิด “สาวๆสมัยนี้ยังมีเหลืออีกหรือ
“อย่างน้อยก็มีชั้นคนนึงแหละ”
ปฐวีทำหน้าดุใส่เมริน
“ทำไมพูดชั้นกับน้าวีอย่างนี้ล่ะ ไม่น่ารักเลย ถ้าพูดชั้นกับน้าวีอีก เรื่องนี้ต้องถึงหูครูบี๋แน่นอน”
เมรินยื่นหน้าใส่ “ขอโทษค่ะ น้าวี”
เมรินทำท่างอนแล้วขึ้นรถไป ปฐวีมองตามแล้วส่ายหน้า

ประภัสสรนั่งหน้าเครียดอยู่ในบ้าน เธอนึกถึงตอนที่คุยกับปรางค์ทิพย์ก่อนหน้านี้
ปรางค์ทิพย์ต่อว่า “.....ถ้าเธอไม่ช่วยพี่ก็เท่ากับเธอ เห็นผัวดีกว่าพี่...”
ประภัสสรกลุ้มใจ
“หรือว่าจะปรึกษาตาวีดี แต่ถ้าปรึกษาตาวีพี่ปรางค์รู้เข้าจะโกรธเราหรือเปล่านะ” ประภัสสรนิ่งคิด “ทำยังไงดี โทรปรึกษาคุณเมธีดีมั๊ยนะ”
ประภัสสรมีสีหน้ากังวลใจ
เมรินกับปฐวีเดินเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
ประภัสสรรีบปั้นยิ้มรับลูก ปฐวีสังเกตเห็น
“พี่ภัส มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อ๋อ ไม่มีหรอกวี วันนี้อากาศร้อนจังเลย”
“ครับ ช่วงนี้อาการแปรปรวน พี่ภัสต้องพักผ่อนมากๆนะครับ”
“จ๊ะ ทานของว่างด้วยกันมั๊ย เดี๋ยวพี่จัดให้”
“ขอตัวไปอาบน้ำก่อน ร้อนจังเลย เดี๋ยวผมมาทานด้วยนะครับ” ปฐวีพูดกับเมริน “น้องเมย์เดี๋ยวน้าวีมาทานด้วยนะ”
“ค่ะ แต่ช้าหมดไม่รู้ด้วยนะคะ”
ปฐวีหันมายิ้มเพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้หลานสาวพูดจากวนดีจริงๆ ประภัสสรมองตามปฐวีแล้วถอนหายใจ

ประภัสสรดูแลให้เมรินทานของว่างอยู่ ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามา
“แม่ภัส ทำอะไรอยู่” ปรางค์ทิพย์ถาม
เมรินเห็นปรางค์ทิพย์ก็ทำหน้าเหนื่อย ปรางค์ทิพย์รีบดึงประภัสสรออกห่างเมริน
“ไง เธอช่วยสนับสนุนพี่กับคุณย่าหรือเปล่า”
ประภัสสรทำท่าอึกอัก
“ยังเลยค่ะ ภัสยังไม่ได้คุยเลย”
“อะไรกัน เรื่องแค่นี้ เธอจะไม่ช่วยพี่หรือ เสียแรงพี่ฝากความหวังไว้กับเธอ”
“ภัส...ตัดสินใจไม่ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวภัส ขอโทรปรึกษาคุณเมธีก่อนนะคะ”
ประภัสสรกดโทรศัพท์ ปรางค์ทิพย์ปรี๊ดแตกจึงเดินไปกระชากโทรศัพท์และขว้างทิ้ง
“อะไรกัน แม่ภัส เรื่องแค่นี้เธอต้องโทรรายงานผัวด้วยสมองน่ะมีไหม หัดคิดอะไรเองบ้างนะ คิดอะไรไม่เป็น เป็นซะแบบนี้แหละ ผัวถึงเบื่อ”
ประภัสสรอึ้งกับความหยาบคายของปรางค์ทิพย์
เมรินเดินมามองแล้วพูด
“ป้าปรางทำไมทำแบบนี้ล่ะคะ ไม่น่ารักเลย”
“แกไม่ต้องมายุ่ง นังเมย์ เรื่องของผู้ใหญ่เด็กอย่ามาสอด”
“เมย์ต้องยุ่ง ถ้าเป็นเรื่องของคุณแม่”
ปรางค์ทิพย์โกรธ “หนอยแนะ นังเมย์ นี่แกจะยุ่งมากเกินไปแล้วนะ”
“น้องเมย์ขา เดี๋ยวแม่คุยกับป้าปรางเองค่ะ หนูไปทานของว่างเถอะนะคะ” ประภัสสรบอกลูกสาว
“นิสัยเหมือนพ่อมันไม่มีผิด ไม่มีความยำเกรงผู้ใหญ่ ชอบยุ่งนัก”
เมรินถอนใจ “จริงๆก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกค่ะ แต่ที่ป้าปรางค์ทำมันเป็นกิริยาที่ไม่ดี ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าป้าปรางค์กับคุณแม่ จะมีสายเลือดเดียวกัน”
“นังเมย์ มันจะมากไปแล้วนะ”
ปรางค์ทิพย์กระชากแขนเมรินมาฟาดไม่ยั้ง
ประภัสสรเข้าไปขวาง “อย่าค่ะพี่ปราง อย่าค่ะ อย่าตีน้องเมย์ค่ะ ภัสขอโทษ”
ปรางค์ทิพย์ผลักประภัสสรกระเด็นไปแล้วเงื้อมือจะตีอีก
“ไม่ได้ เด็กเลวแบบนี้ต้องสั่งสอน”
เสียงปฐวีดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้นะพี่ปรางค์”
ปรางค์ทิพย์ชะงัก เมรินสะบัดจนหลุดแล้ววิ่งไปหาปฐวี
“น้าวี”
ปฐวีกอดหลานไว้แบบปกป้องพร้อมกับจ้องหน้าปรางค์ทิพย์แบบจะเอาเรื่อง

ปรงทองนั่งเป็นประธานด้วยสีหน้าเครียด ในขณะที่เมรินนั่งตักปฐวี
ปรางค์ทิพย์รีบฟ้อง “น้องเมย์พูดจาก้าวร้าว ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ปรางค์เองกลัวว่าแกจะเสียคนเลยต้องตีกำราบบ้างน่ะค่ะ”
“แต่ที่ผมเห็นน่ะไม่ใช่การตีสั่งสอนนะครับ พี่ปรางค์” ปฐวีแย้ง
“วีพูดแบบนี้ หมายความว่าพี่ทำเกินกว่าเหตุใช่มั๊ย วีคิดว่าพี่จะใจไม้ ไส้ระกำฆ่าหลานหรือไง”
“ผมไม่ได้พูดขนาดนั้น เพียงแต่จะลงโทษกันก็อย่าให้มันเกินไป ทำไมต้องรุนแรงขนาดนั้น”
“ก็โอ๋กันเข้าไป น้องเมย์ถึงได้เป็นแบบนี้ไงละ พี่ถือคติว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี นี่เห็นเป็นลูกเป็นหลานเลยอบรม ถ้าไปทำกับคนอื่นเค้า จะว่าได้ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน”
“พอเถอะ แม่ปรางค์” ปรงทองปราม “ชั้นขอร้อง ทีหลังอย่าทำรุนแรงกับหลานขนาดนี้ ถ้าแม่ภัสเค้าทำกับลูกหล่อนบ้าง หล่อนคงจะไม่นั่งซับน้ำตาแบบแม่ภัสหรอกใช่มั๊ย”
ประภัสสรนั่งซับน้ำตา

ปรางค์ทิพย์ยักไหล่ “ลูกปรางค์ไม่วันแสดงกริยาก้าวร้าว กับผู้ใหญ่แบบนี้หรอกค่ะ เพราะไม่มีเชื้อสายแบบนั้น แต่ถ้าคุณย่าจะโทษปรางค์ ปรางก็ยอมรับผิด ปรางค์ไม่ใช่หลานรักนี่คะ ทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่เคยดีในสายตาคุณย่าเลยใช่ไหมคะ”
ปรางค์ทิพย์ทำมารยาซับน้ำตา
“เอาละ ๆ แม่ปรางค์ไม่ต้องสาธยายหรอก ชั้นน่ะยุติธรรมเสมอ เรื่องนี้ก็ให้เลิกแล้วต่อกัน เจ้าเมย์ขอโทษป้าปรางเค้าซะ ส่วนเราก็ต้องขอโทษหลานที่ใช้อารมย์รุนแรงกับเด็ก” ปรางทิพย์แค้น แล้วต่างคนก็ต่างขอโทษกัน ปรงทองพูดต่อ “เรื่องที่หล่อนขอชั้นน่ะ เดี๋ยวชั้นจะจัดการให้”

อ่านละคร พรพรหมอลเวง ตอนที่ 5/4 วันที่ 14 ก.พ. 56

พรพรหมอลเวง บทประพันธ์ : กิ่งฉัตร
พรพรหมอลเวง บทโทรทัศน์โดย : วรวรรณ ชัยสกุลสุรินทร์
พรพรหมอลเวง กำกับการแสดงโดย : ชุดาภา จันทเขตต์
แนวละคร : โรแมนติก - คอมเมดี้
พรพรหมอลเวง ผลิตโดย : บ. เวฟมีเดีย
พรพรหมอลเวงออกอากาศ ทุกวันศุกร์ - เสาร์ และอาทิตย์ เวลา 20.15 น. ทางไททีวีสีช่อง 3
พรพรหมอลเวง เริ่มออกอากาศตอนแรก ในวันศุกร์ที่ 8 ก.พ 56 (ต่อจาก แรงปรารถนา)
ที่มา manager