อ่านละคร พรพรหมอลเวง ตอนที่ 10 วันที่ 22 ก.พ. 56
ปรางค์ทิพย์เปิดลิ้นชักแล้ววางแหวนสองวงไว้อย่างไม่สนใจ“แล้วนี่คุณจะไปไหน ทำไมแต่งตัวแบบนั้น”
“อ้าว ผมต้องไปคุยกับลูกค้า ผมไม่ใช่พนักงานบริษัทแล้ว ผมเป็นเจ้าของบริษัท ก็ยุ่งแบบนี้แหล่ะ ไปก่อนล่ะ ไม่ต้องรอทานข้าวนะคงดึก”
เสกสรรเดินไป ปรางค์ทิพย์มองตามแล้วหงุดหงิดอยู่คนเดียว
เมรินกับสุดนภานั่งคุยกันอยู่
“เมื่อคืนชั้นเห็นสายตาแกนะ ตอนเต้นรำกับหมอวีน่ะ แกชอบหมอวีใช่ไหม” สุดนภาถาม
“แกมาหาชั้นเพราะเรื่องนี้น่ะหรือ” เมรินพูดลอยๆ “คิดว่าแกคิดถึงชั้นซะอีก”
“แกอย่ามาเฉไฉเลยหยง บอกมานะ แกมีใจให้หมอวีใช่มั๊ย”
เมรินมอง “แกหึงรึเปล่า” เมรินยังกลัวเพื่อนเสียใจ
“ชั้นไม่ได้คิดอะไรกับหมอวีแล้ว”
“แล้วกับคุณนาวินล่ะ แกคิดอะไร”
สุดนภายิ้ม “ตาบ้านั่นน่ะหรือ น่ารำคาญจะตาย”
นาวินกระแอมเหมือนอะไรติดคอ สุดนภาสะดุ้ง
“ตายยากชะมัดเลย” สุดนภาพูดกับนาวิน “ตามชั้นมาทำไมเนี่ย”
“อ้าว แล้วคุณล่ะ มาที่นี่ทำไมไม่บอก”
“ประสาท ทำไมชั้นจะไปไหนมาไหนต้องรายงานคุณทุกเรื่องหรือ”
สุดนภาแยกเขี้ยวใส่นาวิน ทั้งสองทำท่าจะวางมวยกัน สุดนภายื่นหน้าเข้าไปหา
“ไม่สู้ก็ได้ ยอมแพ้” นาวินได้กลิ่มหอมๆ
สุดนภาหงุดหงิดจึงผลักออก นาวินทำไม่รู้ไม่ชี้ สุดนภาหมั่นไส้จึงเข้าไปทุบ นาวินโวยวายว่าถูกทำร้ายร่างกาย เมรินมองสุดนภากับนาวินแล้วยิ้มขำ
ปรงทองนั่งอ่านแฟ้มหน้าเครียด แม้นวาดยืนมองด้วยสีหน้าวิตก
“ไม่ผิดจากที่ชั้นคิดจริงๆ” ปรงทองบอก
“แล้วคุณท่านจะจัดการยังไงต่อละคะเนี่ย” แม้นวาดถาม
“เงินก้อนนี้ ยังไงชั้นยกให้” ปรงทองส่ายหัว “แล้วดูสิถ้าเป็นคนอื่น เค้าเรียกว่าโกงเลยนะ แม่แม้นวาด”
ปรงทองนิ่งคิดหน้าเครียด แม้นวาดมองด้วยความเป็นห่วง
ปฐวีชี้ให้ญาติคนไข้ดูภาพฟีล์มเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์
“คนไข้กะโหลกศรีษะแตกร้าว และมีเลือดออกใต้กระโหลก ประมาณ 1 เซ็นต์ ตอนนี้การผ่าตัดเรียบร้อยดี หมอห้ามเลือดและให้ยาลดความดันสมองแล้ว ถ้าไม่มีเลือดออกอีก ก็เบาใจได้นะครับ”
ญาติโล่งใจ
“ขอบคุณนะคะ ที่คุณหมอช่วยอธิบาย ไม่อย่างนั้นพวกเราคงนอนไม่หลับคิดไปโน่นนี่มากมาย”
“ถ้ามีอะไรสงสัย ถามหมอได้เลยนะครับ หมอยินดีอธิบายให้ญาติคนเข้าใจ จะได้ไม่ต้องวิตกกังวล” ปฐวีบอก
ญาติยกมือไหว้ขอบคุณ ปฐวีรับไหว้แล้วยิ้มสบายใจ
ปฐวีเดินออกจากห้องคนป่วยพร้อมกับถือแฟ้มเดินอ่านมาตามทาง จริญทิพย์เดินตามหาปฐวีพอเห็นปฐวี จริญทิพย์ก็รีบวิ่งมาหา
“คุณวีคะ อยู่นี่เอง”
ปฐวีอ่านแฟ้มไม่เงยหน้า “อะไรหรือครับคุณทิพย์”
“ท่านประธานโทรมาค่ะ ท่านว่าถ้าคุณวีเสร็จงานวันนี้แล้ว ขอให้รีบกลับ ท่านมีเรื่องจะปรึกษา”
ปฐวีงง เขามองจริญทิพย์ที่มีอาการตื่นเต้นมาก “น้ำเสียงท่านด่วนมากหรือครับ คุณทิพย์ดูตื่นเต้นขนาดนี้”
จริญทิพย์นึกได้ “อุ๊ย เปล่าหรอกค่ะ ท่านน้ำเสียงปรกติ แฮ่ะ ทิพย์แอคติ้งเยอะไปหน่อย ขอโทษค่ะ”
ปฐวีส่ายหัว
“งั้นช่วงบ่ายผมมีนัดหรือเปล่า คุณทิพย์ช่วยเช็คให้ด้วยนะครับ เดี๋ยวผมขอไปเยี่ยมคนไข้ก่อนนะครับ”
ปฐวีเดินอ่านแฟ้มต่อไป จริญทิพย์มองตาม
“ดูสิ ยังขอเยี่ยมคนไข้ก่อน คิดแต่เรื่องงานแบบนี้ เมื่อไหร่จะมีคู่ล่ะหมอวีไม่เป็นไร ทิพย์จะขออยู่เป็นคู่หมอวีแล้วกันค่ะ”
จริญทิพย์เดินบ่นไป
สองพยาบาลรักสิกากับยมนาเดินคุยกันคิกคักออกมาจากห้อง
“แหม อิจฉาเจ้าหญิงนิทราจังเลย ขนาดหลับไม่รู้เรื่องขนาดนี้ยังมีคนมาเปลี่ยนดอกไม้ให้ทุกวันเลย” รักสิกาบอก
“นั่นน่ะสิ ขนาดเราตัวสดๆเป็นๆ พูดได้คุยได้ ยังไม่มีใครมาให้ซักดอก ตาชั้นงี้ร้อนวูบๆ เชียว” ยมนาเสริม
จริญทิพย์ยืนมองอยู่ รักสิกากับยมนาเห็นจริญทิพย์ก็รีบทำท่าสำรวม
“นี่อะไรกันจ๊ะ เป็นพยาบาลน่ะต้องมีจิตใจเมตตาต่อคนป่วย นี่อะไรกันมาอิจฉาแค่ดอกไม้เนี่ยนะ”
“แหม คุณทิพย์ไม่รู้อะไร มีคนเอาดอกไม้มาให้ เจ้าหญิงนิทราของเราทุกวันเลย”
“โถกะอีแค่ดอกไม้ สมัยชั้นสาวๆน่ะนะ วาเลนไทน์ทีนึง แม่ค้าปากคลองตลาดแทบจะกลั้นใจตาย” จริญทิพย์คุย
“กลั้นทำไมคะ ดอกไม้เน่าหรือ” รักสิกาถาม
“บ้า เค้าอิจฉาชั้นต่างหาก หนุ่มๆทั่วพระนคร เอาดอกไม้มาให้ชั้นน่ะสิยะ”
“โห...ใช้คำว่าพระนครนี่แสดงกว่า รัตนโกสินทร์ตอนต้นเชียวนะเนี่ย” ยมนาแซว
“นี่หล่อน พูดอย่างนี้ว่าชั้นหรือ แล้วดอกไม้น่ะ ดอกอะไรกันล่ะยะ ใครเอามาให้คุณตันหยง”
รักสิกากับยมนาค้อนขวับ
“ดอกกล้วยไม้ค่ะ” ยมนาตอบ
ปรงทองนั่งจิบน้ำชาสีหน้าเครียด พอเห็นปฐวีเดินเข้ามาปรงทองก็ยิ้มยินดี
“งานยุ่งหรือวี” ปรงทองถาม
“นิดหน่อยครับ เสร็จแล้วผมก็รีบมาเลย” ปฐวีบอก
“ขอโทษทีเถอะ ย่าทำให้วุ่นวาย”
ปรงทองหยิบเอกสารส่งให้ปฐวีอ่าน
“ลองอ่านดู”
ปฐวีอ่านแล้วก็มีสีหน้าเริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ ปรงทองจิบน้ำอย่างใจเย็น
“คุณย่าครับ นี่มัน.....”
“ใช่ มันโกงกันชัดๆใช่มั๊ย”
ปฐวีถอนหายใจ “แล้วคุณย่าจะทำยังไงครับ”
“ย่าต้องจัดการให้เด็ดขาด ไม่ใช่ว่าย่าเสียดายเงินหรอกนะวี แต่สำหรับย่าความซื่อสัตย์สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าคนเราทำธุรกิจแล้วไม่มีความซื่อสัตย์ มันเท่ากับเราทำลายตัวเอง”
“ผมไม่อยากให้คุณย่าทำอะไรรุนแรง ผมเป็นห่วงปรงแก้วกับปรงขวัญ”
ปรงทอง ยิ้ม “ย่าคิดไว้แล้วว่าวีต้องพูดแบบนี้ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ย่าจะจัดการเอง วีไม่ต้องลำบากใจ”
ปฐวีก้มมองเอกสารอีกครั้งด้วยสีหน้าเครียด
ปฐวีเดินมาที่ริมสระน้ำด้วยสีหน้าเครียด เมรินเดินออกมาเห็นปฐวีไม่สบายใจ เมรินมองอย่างเป็นห่วง
“น้าวีเป็นอะไรไปคะ หน้าตาไม่สบายเลย”
“ก็หลายเรื่องน่ะ แล้วน้องเมย์ล่ะ เป็นไง”
“ครูบี๋พึ่งกลับไปค่ะ น้องเมย์ก็เบื่อๆค่ะ”
ปฐวีขำประโยคของเมริน
“งั้นเดินเล่นกันมั๊ย” ปฐวีถาม
เมรินยิ้ม “ไปสิคะ”
เมรินเดินอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ซึ่งมีกุหลาบและมะลิอยู่ใกล้กัน และมีดอกกล้วยไม้ด้วย ปฐวีใช้ความคิด
เมรินมองปฐวีแล้วชวนคุย “น้าวีคะ ดูดอกไม้พวกนี้สิคะ สวยจังเลย”
เมรินมองกล้วยไม้แล้วเข้าไปดมใกล้ๆ “สวยนะคะ”
“น้องเมย์ชอบดอกกล้วยไม้เหรอ”
“ใช่ค่ะ เมย์ไม่ชอบกุหลาบ มันดูเย้ายวนเกินไป ดอกมะลิก็ดูบอบบางนุ่นนวล น่าจะเหมาะกับคุณแม่มากกว่า”
ปฐวีนิ่งคิด “เข้าใจเปรียบเทียบนะ จริงอย่างที่น้องเมย์ว่าด้วย”
ปฐวีนั่งลงมองดอกไม้แล้วคิดไปถึงตันหยง
ปฐวีคิดถึงตอนที่เขาเอาดอกกล้วยไม้ไปวางไว้ให้ตันหยง
ปฐวีพูดกับร่างตันหยง “ผมไม่รู้หรอกว่าคุณชอบดอกไม้อะไร แต่สำหรับผม คุณเหมือนกล้วยไม้ สง่างาม แต่อ่อนหวาน”
ปฐวียืนมองตันหยงนิ่ง
เสียงเมรินเรียกดังขึ้น “น้าวีคะ น้าวี”
เมรินยืนโบกมืออยู่หน้าปฐวี ปฐวีรู้สึกตัว
“น้าวีคิดอะไรอยู่คะ กลับมาหาน้องเมย์ก่อน”
ปฐวียิ้มแล้วมองหลาน “น้าวีขอโทษนะ”
เมรินขำ “น้าวีคิดอะไรคะ”
ปฐวีคิด “คิดเปรียบเทียบดอกไม้กับผู้หญิงคนหนึ่ง”
เมรินงอนแล้วสลดลงทันที
ปฐวีขำ ก่อนจะจับเมรินให้หันมาแล้วพูดปลอบ “และถ้าน้องเมย์โตขึ้น ก็คงจะเป็นผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละ”
เมรินยิ้มแป้น
บุญศรีเดินถือกระเป๋าแบรนด์เนมใบเก่าของปรางค์ทิพยอวดคนโน้นคนนี้
“จับเบาๆนะยะ ใบนี้หลายเงินนะ คุณปรางค์ยกให้ชั้น” บุญศรีคุย
“แหม พี่ศรี จะเอาไปถืออวดใครกันล่ะคะ” สายแก้วถาม
“จะอวดใครมันก็เรื่องของชั้น แกอิจฉาใช่มั๊ยนังสายแก้ว”
“โธ่พี่ศรี ชั้นจะไปอิจฉาพี่ทำไม ถือแล้วมันเหาะได้มั๊ยล่ะ”
บุญศรีหน้าเสีย “หนอยนังสายแก้ว หน้าอย่างแกไม่มีวันได้สัมผัส เจ้านายแกก็ไม่มีใช้ อย่างว่าแหละ คนมันไม่เคยได้ไม่เคยมี มันจะไปรู้คุณค่าอะไร”
“พี่ว่าอย่างนี้มันก็ไม่ถูก มาตบกันเลยดีมั๊ยเนี่ย”
สายแก้วกับบุญศรีเดินไปจ้องตากัน
แม้นวาดเดินเข้ามา
“ทำอะไรกัน เสียงเอะอะไปถึงข้างบน ประเดี๋ยวเถอะ คุณท่านได้ยินละก็”
บุญศรีกับสายแก้วรีบแยกจากกัน
“นังสายแก้วมันอิจฉาค่ะคุณแม้นวาด มันไม่เคยมีกระเป๋าแบรนด์เนมอย่างบุญศรีนี่ไงคะ ใบละหลายสตางค์นะเนี่ย คุณปรางค์ใจดี๊ใจดี ยกให้”
แม้นวาดมองกระเป๋าในมือบุญศรีแล้วถอนหายใจ
“ก็ดีแล้วนี่” แม้นวาดพูดกับสายแก้ว “วันนี้คุณท่านไม่ค่อยสบาย ไม่ต้องตั้งโต๊ะ แต่ขอเป็นของอ่อนๆแทนนะ”
“ได้ค่ะคุณแม้นวาด เดี๋ยวสายแก้วบอกแม่ให้ค่ะ”
แม้นวาดมองบุญศรีแล้วส่ายหน้า
“ชั้นเหนื่อยใจแทนคุณท่านจริง...จริ๊ง เออ แม่บุญศรี พรุ่งนี้คุณท่านให้เชิญคุณสรรกับ คุณปรางค์ไปพบตอนเช้า”
บุญศรีถาม “เรื่องอะไรคะ”
“ไปก็รู้เองนั่นแหละ”
แม้นวาดเดินไป ทุกคนมองตามอย่างงงๆ
“ทำเป็นความลับ” บุญศรีหันมาทางทุกคน “เออ บ้านนี้มันอะไรกัน ไม่มีคนรู้จักแบรนด์เนมหรือไงกันเนี่ย”
ทุกคนมองบุญศรีเหมือนตัวประหลาด
ปรางค์ทิพย์กับเสกสรรกำลังนั่งกินอาหารเย็น บุญศรีรีบเดินเข้ามารายงาน
“คุณปรางค์เจ้าขา คุณแม้นวาดบอกว่า พรุ่งนี้คุณหญิงท่านให้เชิญคุณปรางค์กับคุณสรรไปพบเจ้าค่ะ”
ปรางค์ทิพย์กับเสกสรรมองหน้ากัน
“คุณยายบอกหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร” ปรางค์ทิพย์ถาม
“ไม่ทราบสิคะ คุณแม้นวาดไม่ได้บอก”
“แกนี่มันไม่ได้เรื่องจริง...จริ๊ง”
บุญศรีจ๋อย
“คุณว่าเรื่องอะไรเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน ท่านอาจจะให้เงินมาลงทุนเพิ่มก็ได้ ผลประกอบการดีซะขนาดนั้น” เสกรรบอก
“คุณคิดแบบนั้นหรือ”
ปรางค์ทิพย์มองเสกสรรอย่างไม่ไว้ใจ
เช้าวันใหม่ เสกสรรกับปรางค์ทิพย์นั่งนิ่ง เอกสารฉบับหนึ่งอยู่ในมือเสกสรร
“ลองอธิบายมาซิพ่อเสกสรร เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่” ปรงทองบอก
เสกสรรอึกอัก ปรางค์ทิพย์รีบแก้ตัว
“ให้ปรางค์อธิบายดีกว่าค่ะ คือ...”
“แม่ปรางค์ ชั้นอยากฟังจากปากพ่อสรรมากว่า ไหนพูดมาซิ” ปรงทองย้ำ
“ก็ได้ครับคุณยาย ผมทำขาดทุน ทั้งๆที่ผมพยายามแก้ไขแล้ว” เสกรรบอก
ปรงทองพูดน้ำเสียงเย็นเรียบจนปรางค์ทิพย์เริ่มกลัว
“ขาดทุนทำไมไม่รายงานตรงๆ ทำไมต้องแต่งบัญชี คิดหรือว่าชั้นจะดูไม่ออก”
ปรางค์ทิพย์ตาค้าง เธอหันไปมองเสกสรร เสกสรรหลบตา
ปรางค์ทิพย์ถาม “ไหนคุณว่าลูกค้าเพียบ ใบสั่งซื้อก็มี มันจะขาดทุนได้ยังไง คุณสรร”
“มันไม่ใช่ขาดทุนธรรมดาหรอก มันมีการโยกย้าย ยักยอกกันอย่างมโหฬาร” ปรงทองบอก
เสกสรรนั่งนิ่งไม่สบตาใคร ปรางค์ทิพย์อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
“คุณยายขา ขอให้ปรางค์แก้ตัวนะคะ ให้โอกาสคุณสรรอีกซักทีเถอะนะคะคุณยาย”
“อย่าพูดกับชั้นแบบนี้อีกนะแม่ปรางค์ จำคำชั้นไว้ให้ดี แต่นี้ต่อไปอย่าได้มาขออะไรชั้นอีก เพราะชั้นให้โอกาสนั้นกับพวกเธอไปแล้ว แล้วมันก็หมดลงแล้ว กลับไปซะ”
ปรางค์ทิพย์ขวัญเสีย “คุณยาย”
ปรงทองนั่งมองหน้า เสกสรรกับปรางค์ทิพย์เดินออกไปอย่างจ๋อยๆ
ปรางค์ทิพย์เดินหงุดหงิดงุ่นงานอยู่ในบ้าน เสกสรรนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา
“เป็นไปไม่ได้ มันจะเจ๊งได้ยังไง มันจะขาดทุนได้ยังไง” ปรางค์ทิพย์พูดกับเสกสรร “คุณบอกชั้นมาเดี๋ยวนี้ มันเป็นไปได้ยังไง”
“อ้าว ก็กระเป๋า รองเท้า สร้อย แหวน นาฬิกา ของแบรนด์เนมทั้งหลายแหล่ ไหนจะบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินอีกล่ะ” เสกสรรว่า
“นี่คุณ ชั้นไม่ได้โง่นะ แค่นั้นมันไม่ทำให้เจ๊งได้หรอก”
“คุณจะมาโทษผมข้างเดียวมันก็ไม่ถูกหรอกนะ มันก็ร่วมด้วยช่วยกัน นี่มันธุรกิจนะคุณ ธุรกิจมันมีแต่กำไรแล้วก็ขาดทุน ทีนี้มันขาดทุนไปแล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ”
“อ๊ายย... ทำไมฉันถึงมีผัวไม่ได้เรื่องแบบนี้นะ พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย ไหนคุยว่าเก่งว่าแน่ แล้วเป็นไง เจ๊งราบ เงินก็เงินของชั้น ที่คุณยายให้มามันเงินของชั้นทั้งนั้น” ปรางค์ทิพย์เข้าไปทุบ “มันเงินของชั้น เอาคืนมานะ เอาเงินชั้นคืนมา”
อ่านละคร พรพรหมอลเวง ตอนที่ 10 วันที่ 22 ก.พ. 56
พรพรหมอลเวง บทประพันธ์ : กิ่งฉัตรพรพรหมอลเวง บทโทรทัศน์โดย : วรวรรณ ชัยสกุลสุรินทร์
พรพรหมอลเวง กำกับการแสดงโดย : ชุดาภา จันทเขตต์
แนวละคร : โรแมนติก - คอมเมดี้
พรพรหมอลเวง ผลิตโดย : บ. เวฟมีเดีย
พรพรหมอลเวงออกอากาศ ทุกวันศุกร์ - เสาร์ และอาทิตย์ เวลา 20.15 น. ทางไททีวีสีช่อง 3
พรพรหมอลเวง เริ่มออกอากาศตอนแรก ในวันศุกร์ที่ 8 ก.พ 56
ที่มา manager