@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 2 วันที่ 13 พ.ค. 57

อ่านละคร รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 2 วันที่ 13 พ.ค. 57

โจสะกดรอยตามวนิษาเห็นพฤติกรรมของเธอที่ต้องเอาเงินให้ทั้งพ่อและแม่บ่อยๆ ครั้งละมากๆ ก็นึกสงสัยว่า เธอเอาเงินมาจากไหน หรือยักยอกเอาของผัวเก่ามา?

โจขับรถตามวนิษาไปถึงหน้าวังวาสุวงศ์ กำแพงวังค่อนข้างสูง โจจึงโทร.เรียกป๋องมาเป็นกำลังเสริม

วนิษาเข้าไปสวัสดีหม่อมจันมารดาของคุณชายแจ้ที่ศาลาในสวน พบว่ากำลังกรีดนิ้วจิ้มแท็บเล็ตอยู่ บ่นว่าจะร้อยมาลัยถวายพระแต่เจ็บนิ้ว เลยขอให้วนิษาร้อยให้

วนิษาร้อยมาลัยได้อย่างสวยงามฝีมือระดับชาววัง เสร็จแล้วไปชงชามาให้หม่อมจัน


ป๋องมาถึงโจจึงขี่คอดูข้างใน เห็นวนิษาเทบางอย่างในห่อกระดาษใส่ในถ้วยชาให้หม่อมจันพอดี โจฟันธงว่าวนิษาวางยาแม่ผัวแน่ๆ หม่อมจันยกชาดื่ม ครู่หนึ่ง โจบอกป๋องว่า

“ยัยป้ากินเข้าไปแล้ว แต่ยังไม่ชักดิ้นชักงอ อาจจะเป็นยาพิษที่ต้องสะสมสักพักค่อยออกฤทธิ์ การวางยาแบบนี้จะจับคนลงมือยาก เพราะจะตรวจสอบเรื่องเวลาลงมือไม่ได้”

ครู่หนึ่งหญิงจุ๋มพี่สาวของชายแจ้เข้ามา วนิษายกมือไหว้ หญิงจุ๋มไม่รับไหว้ หญิงจุ๋มพูดกระแนะกระแหน ไม่ไว้ใจวนิษาจนหม่อมจันถามว่าเมื่อไรจะเลิกอคติกับวนิษาเสียที

“อคติเหรอคะ อีกไม่นานหรอกค่ะ หนูจะเอาหลักฐาน มาแฉให้คุณแม่ดูว่ายัยนี่อันตรายแค่ไหน” หญิงจุ๋มพูดไม่เกรงใจ ทั้งยังมั่นใจว่าวนิษาเป็นฆาตกรฆ่าคุณชายแจ้ วนิษาจึงขอตัวกลับ หญิงจุ๋มมองตามอย่างชิงชัง

ooooooo

วนิษาขับรถออกมา เธอรู้ตัวว่าถูกติดตาม เธอโทร.บอกบางคนว่า

“กำลังจะไปถึงนะ แต่เหมือนจะมีคนสะกดรอยตาม อาจจะเป็นคนของพวกเสี่ยเพ้ง มีข่าวว่ามันจะส่งคนมาอุ้มฉัน...ได้...แล้วเจอกัน”

วนิษาขับรถหลอกล่อเปลี่ยนเลนบ้าง เลี้ยวเข้าซอยบ้าง จนโจรู้ว่าเธอรู้ตัวแล้ว สุดท้ายเมื่อเธอเลี้ยวเข้าซอยเขาจึงให้ป๋องขับเลยไป แล้วตัวเองก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างไล่ตามไปห่างๆ พอเข้าซอยเปลี่ยว โจลงจ่ายค่ามอเตอร์ไซค์แล้วแอบไปปลอมตัวใส่วิกผมสีส้ม ใส่ฟันปลอมยื่นเหยอ ทาหน้าด้วยครีมรองพื้นสีคล้ำ ติดรอยย่นที่หางตา แล้วรีบตามเข้าไปในซอยลึก

โจซุ่มดู เห็นวนิษาจอดรถลงไป มีชายฉกรรจ์ท่าทางดุร้ายห้อมล้อมเข้ามา ทีแรกก็คิดว่าเป็นโจรดักปล้นคิดจะไปช่วยเธอ แต่ค้นในกระเป๋าเป้มีสนับมืออันเดียว แต่แล้วก็โล่งใจเมื่อได้ยินชายคนหนึ่งค้อมตัวทัก

“สวัสดีครับตั่วเจ๊”

“ลูกน้องหรอกเหรอเนี่ย เกือบโชว์โง่แล้วไหมล่ะ” โจบ่นตัวเอง

ชายคนนั้นคือปฐมลูกน้องคนสนิทของวนิษา เขาถามว่าใครตามมาจะให้ตนไปจัดการไหม วนิษาบอกว่าไม่ต้องตนเสียเวลามามากแล้ว ครู่เดียววนิษาก็เปลี่ยนรถแล้วรถคันนั้นก็ขับย้อนกลับไปทางเดิม รถผ่านตรงที่โจซุ่มอยู่แต่ไม่เห็นโจแล้ว พอรถผ่านไปโจก็โผล่มามองตามพึมพำ “ตั่วเจ๊เนี่ยนะ...” แล้วโจก็รีบตามไป

ooooooo

โจนั่งแท็กซี่ตามไปจนถึงเขตไชน่าทาวน์ เห็นวนิษาเข้าประตูด้านข้างของตึกแถวห้องหัวมุม โจลงจากรถแท็กซี่มองประตูที่วนิษาเข้าไป มันเหมือนประตูบ้านธรรมดาๆ แต่ล็อกแน่นหนา

โจเห็นชายท่าทางป๋าๆ เดินไปพูดอะไรกับคนเฝ้าประตูสองสามคำแล้วเข้าไป โจส่งไลน์ถึงป๋องว่า

“ไปหาลูกค้า ขอเบิกเงินเพิ่มเพราะเริ่มเสี่ยงมากขึ้น ถ้าลูกค้ายึกยักไม่จ่ายก็คืนงานได้เลย ปล.แกต้องให้เขาจ่ายให้ได้ เพราะเราไม่มีงานอื่น แล้วถ้าคืนนี้ไม่เจอฉัน ให้พาตำรวจมาตามที่อยู่นี้”

ป๋องดูที่อยู่แล้วตกใจเพราะตัวเองลืมรายงานไปว่าบ้านหลังนั้นอันตรายมาก บ่นว่าให้ถอนด่วนจะทันไหม แต่โจเอาทุกอย่างใส่กระเป๋าเป้โยนขึ้นไปบนกันสาดที่ลับตาคนไปแล้วจึงไม่ได้ยินเสียงมือถือเรียก

ป๋องตัดสินใจกลับไปทวงเงินลูกค้า บ่นอย่างหนักใจว่าไม่รู้ลูกค้าจะยอมจ่ายหรือเปล่า ยิ่งขี้เหนียวอยู่ด้วย

ooooooo

โจอยู่ในคราบปลอมตัว เห็นหญิงคนหนึ่งเดินไปพูดกับคนเฝ้าประตู โจจ้องพยายามอ่านปากหญิงคนนั้น ทั้งสองพูดกันไม่กี่คำ คนเฝ้าประตูก็เปิดให้หญิงคนนั้นเข้าไป

โจวางมาดเดินเข้าไปบ้าง คนเฝ้าประตูถามว่า “วันนี้หมาสีอะไร” โจตอบทันที “สีขาว” คนเฝ้าประตูชักสีหน้ามองโจเสียววาบ รีบขอเวลา เห็นมันคลำที่ปืนก็ใจไม่ดี พยายามขอเวลา คิดทบทวนอ่านปากหญิงคนนั้น รู้สึกว่าเป็นเสียง อาวๆ อะไรทำนองนั้น เมื่อขาวไม่ใช่แล้วจะเป็นอะไร เดาไปต่างๆ นานา ตาว...มาว...กาว...ราว...ฯลฯ

เห็นคนเฝ้าประตูทำท่าจะชักปืน โจก็นึกออกโพล่งออกไป “บราวน์...สีบราวน์...”

สำเร็จ! คนเฝ้าเปิดประตูให้ โจแอบถอนใจโล่งอก

เมื่อเข้าไปได้แล้ว โจจึงรู้ว่า แม้ทางประตูเข้าจะเป็นห้องแถวห้องเดียวแต่ข้างบนทะลุไปหลายห้องกว้างขวางมาก จากชั้นหนึ่งถึงชั้นสาม คลาคล่ำไปด้วยนักพนันมากมาย

เดินถึงชั้นสาม เห็นวนิษาลงจากชั้นสี่มาหานักพนันวัยป๋าคนหนึ่งที่เอะอะโวยวายว่าถูกโกงและจะขอเงินคืน วนิษาถามว่าในตัวป๋ามีเหรียญไหม ให้หยิบออกมา

ป๋าหยิบเหรียญออกมา วนิษายื่นมือออกไปจับมือป๋าวางบนหลังมืออีกข้างของป๋าบอกว่า

“ทายมา ถ้าทายถูก คุณเอาเงินที่เล่นเสียคืนไป พร้อมมือของฉันสองข้าง แต่ถ้าทายผิดฉันขอมือคุณข้างนึงจบ”

ลูกน้องเอาปังตอและเขียงไม้อันใหญ่มาวาง วนิษาบอกว่า “นี่เหรียญคุณเองนะมือก็มือคุณ ไม่มีการโกงแน่ๆ ทายมา”

ป๋าคนนั้นอึกอักหน้าถอดสี พอวนิษาเร่งให้ทาย ป๋าคนนั้นไม่ทาย บอกว่าตนเปลี่ยนใจแล้วไม่เอาเงินคืนแล้ว ทั้งยังขอโทษตั่วเจ๊ ด่าว่าตนปากเสียเอง

วนิษาสั่งให้จับแก้ผ้าแล้วเชิญออกไป ป๋าโวยวาย เธอบอกว่าถ้าไม่ลงโทษเขา คนอื่นจะเห็นที่นี่เป็นยังไง นึกอยากจะโวยก็โวยส่งเดชหรือ นักพนันคนหนึ่งที่อยู่แถวนั้นชมกับโจว่า ตั่วเจ๊ใจถึงจริงๆ กล้าเอามือตัวเองเป็นเดิมพัน โจแย้งเบาๆว่า

“ไม่ใช่ใจถึงหรอก แต่ตาถึงมากกว่า ดูออกว่าเสี่ยคนเมื่อกี๊มันขี้ขลาด ยังไงก็ไม่กล้าเล่นแน่”

จัดการป๋าแล้ววนิษาจะกลับเดินผ่านโจเธอหยุดมอง โจยิ้ม เธอยิ้มหวานให้โจเลยยิ้มแฉ่งเต็มหน้า

ooooooo

วนิษาจำผมสีส้มของโจได้ว่าเห็นที่ทางเข้าบ่อนเมื่อครู่นี้ เธอสั่งให้จับตัวไปยังห้องสอบสวนและจะสอบสวนเองเพราะสงสัยว่าจะเป็นคนที่เสี่ยเพ้งส่งมา

ทันทีที่เผชิญหน้ากัน วนิษาถามว่าเขาเป็นใครโจ ตอบกวนประสาทยั่วจนวนิษาโมโห เอาอุปกรณ์ประกอบการสอบสวนหลายอย่างมา ถูกโจหัวเราะเยาะเห็นเป็นเรื่องขำ จนเมื่อเธอเอาปากเป็ดใช้ตรวจภายในสตรีที่ยัง มีคราบให้เห็นว่าใช้แล้วยังไม่ได้ล้าง คราวนี้โจทำหน้า สยองแขยง

เมื่อวนิษาทำท่าจะใช้ปากเป็ดมาถ่างปากโจ เขาโวยวายบอกว่ายอมแล้ว พอวนิษาเข้าใกล้เห็นตาโจทอประกายวูบ พริบตานั้นโจจับเธอเหวี่ยงไปกระแทกผนังร่วงลงไปกอง แล้วเขาก็ลากเก้าอี้ขึ้นไปยืนดันแผ่นฝ้าเพดานขึ้นไป อึดใจต่อมาโจในสภาพปกติก็เดินออกจากห้องน้ำปะปนกับนักพนันเดินออกไป

ปฐมเห็นวนิษาเข้าไปนานผิดปกติจึงเข้าไปดู พบเธอนั่งมึนอยู่ที่พื้น วนิษายอมรับว่าตนพลาดถูกจับเหวี่ยงและมันก็ปีนหนีไปแล้ว แต่ก็เบาใจเพราะมันไม่ใช่คนของเสี่ยเพ้ง ถ้าเป็นคนของเสี่ยเพ้งมันต้องฆ่าตนไปแล้วเพราะมันมีโอกาส

เมื่อจะออกไป ปฐมบอกว่าอย่าเพิ่งไปในสภาพนี้ เพื่อรักษาฟอร์มของวนิษา ปฐมดัดเสียงทำเป็นว่าถูกเธอซ้อมหนักร้องเสียงดังออกไปข้างนอก ที่ลูกน้องหลายคนเงี่ยหูฟังอยู่ แล้วพูดเสียงปกติว่า

“พอเถอะครับ มันสลบไปแล้ว อาจจะตายไปแล้วก็ได้” แล้วเปิดประตูให้วนิษาเดินหัวยุ่งออกไป ปฐมมองพวกลูกน้องที่อยู่หน้าห้องสั่งว่า “พวกแกจับตาดูไว้ ห้ามใครเข้าไปยุ่งกับมัน ใครฝ่าฝืนถือว่าเป็นไส้ศึก ต้องโดนหนักกว่ามันอีกเข้าใจไหม” พอลูกน้องรับคำ ปฐมบอกว่าตั่วเจ๊เล่นมันเสียขนาดนี้คงตายไปแล้ว ห้ามใครเข้าไปยุ่งเดี๋ยวตนจะให้คนมาเก็บศพเอง พวกลูกน้องรับคำมองตามตั่วเจ๊ไปอย่างหวาดกลัว

ส่วนโจ พอหนีออกมาได้ก็ไปเอากระเป๋าเป้ที่โยนไว้บนกันสาดมาสะพายมองไปที่บ่อนบ่นอย่างขยะแขยง

“ฝากไว้ก่อนเถอะยัยตั่วเจ๊ ครั้งหน้าฉันจะเอาที่ดูดส้วมไปปั๊มปากเธอ ฮึ่ม!”

ooooooo

เมื่อวนิษากลับมาที่ห้องทำงานในบ่อน ยอมรับว่าตัวเองยังอ่อนประสบการณ์ไม่อย่างนั้นคงไม่พลาดท่าเสียทีขนาดนี้

“วงการนี้ต่อให้เก๋าเกมขนาดไหนก็มีสิทธิ์พลาดพลั้งกันได้ ที่สำคัญคือ พลาดแล้วก็พลาดไปไม่ต้องคิดมาก ขอเพียงยังไม่ตายก็มีโอกาสแก้มือ” ปฐมให้กำลังใจ

“ฉันจะจำไว้ค่ะ ขอบคุณคุณปฐมมากนะคะที่ช่วยสั่งสอนฉัน”

“ตั่วเฮียมีพระคุณกับผมอย่างล้นเหลือ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วที่ต้องดูแลตั่วเจ๊และในสายตาผม ตั่วเจ๊ก็ดูแลเรื่องราวของตั่วเฮียได้ดีมาก ผมนับถือตั่วเจ๊จากใจจริงๆ”

“ฉันขอทำหน้าที่เมียที่ดีแค่นั่นเอง แม้อาเฮียจะไม่ อยู่แล้ว แต่เขาก็เป็นสามีฉัน เป็นครอบครัวของฉัน” วนิษามองรูปบนโต๊ะที่เสี่ยป๊อกถ่ายกับปลายฝนกอดคอกันดูเป็นพ่อลูกที่รักและสนิทกันมาก

วนิษานึกถึงวันที่เสี่ยป๊อกอยู่โรงพยาบาลเสี่ยให้ถอดหน้ากากออกซิเจนออก ฝากวนิษาว่า

“หว่าหวา ถ้าเฮียไม่รอด ดูแลปลายฝนให้ด้วยนะ แม่เขาตายตั้งแต่ยังเด็ก รับปากเฮียสิ” พอวนิษาพยักหน้าเสี่ยป๊อกก็ยิ้มแล้วคอตกมือตกแน่นิ่งไป

แต่นั้นมา วนิษาก็พยายามดูแลและใกล้ชิดกับปลายฝน แม้ยังไม่อาจได้ใจจากปลายฝนแต่ก็ไม่ต่อต้านเพราะปลายฝนไม่อยากทำให้พ่อเสียใจ หากเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิด พอใจที่จะปลีกตัวอยู่ตามลำพังมากกว่า

ในยามที่อยู่ลำพังในห้องคอนโด วนิษาอดที่จะทอดถอนใจ บอกกับตัวเองไม่ได้ว่า

“เลี้ยงลูกนี่ยากกว่าคุมบ่อนอีกแฮะ”

ooooooo

โจรอดกลับมาได้อย่างใจหายใจคว่ำ ป๋องเพิ่งมาบอกว่าที่นั่นไม่ใช่แค่เป็นบ่อนแต่เป็นรังของเสี่ยสมชายเลยทีเดียว

ป๋องบอกว่าเสี่ยสมชายเป็นแก๊งไม่ใหญ่แต่คุมพื้นที่สำคัญๆ แย่งผลประโยชน์กัน แต่ละแก๊งแถวนั้นใครไม่โหดอยู่ไม่ได้ โจขอบใจแต่บอกช้าไปหน่อย เขาพูดถึงวนิษาว่า

“ยัยนี่เป็นผู้หญิงที่พิลึกอยู่เหมือนกัน กลางวันเป็นผู้หญิงชาววังกลางคืนมาเป็นเจ้าแม่คุมแก๊งกักขฬะ สุดโหดแถมอุบาทว์ซกมก”

ทั้งสองคุยกันแล้วเห็นว่าวนิษาทะเยอทะยาน ได้ทรัพย์สมบัติของผัวทั้งสองคนไปมหาศาลยังไม่พอ ยังมาคุมแก๊งด้วย โจจึงเชื่อว่าแบบนี้เองคนจึงสงสัยว่าเธอเป็นฆาตกร แต่ก็น่าแปลกที่คนสงสัยกันขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครจับพิรุธเธอได้แม้แต่ตำรวจก็สรุปสาเหตุการตายของทั้งคุณชายและเสี่ยป๊อกอย่างคลุมเครือ

ป๋องบอกว่าคนเขาว่ากันว่าเธอเกิดในฤกษ์อัปรีย์เป็นผู้หญิงกินผัว โจตัดบทว่าเป็นเรื่องไร้สาระ พูดขึ้นมาเพื่อทำให้คนไขว้เขวเรื่องเธอเป็นฆาตกร พูดแล้วโจมองรูปวนิษาที่แปะไว้ที่บอร์ด พูดเองเออเองว่า

“เธอเป็นฆาตกรใช่ไหม อย่าเอาเรื่องดวงมาบังหน้า เรื่องดวงไม่มีจริงหรอก”

แล้วโจก็คิดเจ็บอยู่ในใจที่หลายคนเรียกเขาว่า “โจตัวซวย...โจตัวซวย...โจตัวซวย...”

โจคิดจนหลับไป ละเมอออกมาเบาๆ “ไม่จริง... ไม่...ผมไม่ใช่ตัวซวย...ไม่ใช่...”

ooooooo

ในวันที่แม่คลอดโจที่โรงพยาบาลนั้น ประดิษฐ์ผู้เป็นพ่อมาเยี่ยม ชมว่าลูกพ่อน่ารักมาก น่ารักจริงๆ แม่ตัดพ้อว่าทำไมพ่อมาช้าเลยไม่ทันได้เห็นลูกคลอด

ประดิษฐ์บอกว่าไม้ที่แอบเอาออกจากป่ามูลค่ากำไรเกือบสิบล้านโดนยึดเลยต้องรีบไปเคลียร์ แต่ก็มีสร้อยทองเส้นโตมารับขวัญลูกแล้ว

“นี่ไง...สวยไหม พ่อตั้งชื่อเล่นลูกว่า โจ มาจากโจโฉ เพราะลูกต้องยิ่งใหญ่เหมือนโจโฉ” แม่บอกว่าแล้วก็นำโชคลาภมาให้เราสองคนด้วย “งั้นชื่อจริงตั้งว่า นำโชค นำโชคมาให้พ่อเยอะๆนะลูก”

ประดิษฐ์พูดจบ ก็มีตำรวจเข้ามาแจ้งว่าเขาถูกจับข้อหาค้าไม้เถื่อน บุกรุกป่าสงวน ติดสินบนเจ้าหน้าที่ ข่มขู่เจ้าพนักงาน มีอาวุธร้ายแรง ว่าจ้างแรงงานผิดกฎหมาย ปลอมแปลงเอกสารราชการและหนีภาษี ข้อหายาวเหยียด

ตำรวจแจ้งข้อหาเสร็จ ทารกโจก็ลืมตาร้องไห้จ้าขึ้นมา

จนโจอายุ 3-4 ขวบ พ่อก็พาโจไปฝากพี่ชายเลี้ยงเพราะตัวเองต้องติดคุก ลุงของโจรับเลี้ยงด้วยความเมตตาหลาน แต่ไม่นาน แม่ก็ต้องพาโจไปฝากน้องสาวซึ่งก็คือน้าของโจเลี้ยงเพราะบ้านของลุงถูกไฟไหม้ หมดตัว!

จนอายุ 8-10 ขวบ โจก็ถูกนำไปฝากให้แก้วญาติอีกคนหนึ่งของแม่เลี้ยง เพราะแม่ต้องหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ

“อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ ถ้าโจมันเป็นเด็กธรรมดา ฉันเลี้ยงให้อยู่แล้ว แต่นี่ลูกเธอเหมือนเด็กคนอื่นซะที่ไหนใครๆก็เรียกกันว่าไอ้โจตัวซวย พี่ไม่กล้าเลี้ยงหรอก”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก...มันแค่บังเอิญ” แม่พยายามอ้อนวอน

“ไม่บังเอิญหรอก ขนาดพ่อมันเอง จากพ่อเลี้ยงร้อยล้านก็หมดตัว แถมติดคุกอีก ลุงมันรับไอ้โจไป ก็ถูกไฟไหม้บ้าน น้ามันรับไปก็เสียพนันจนหนี้ท่วมหัว อามันอีกคนหนีทหารมาได้ 19 ปีแล้ว พอรับไอ้โจไปเลี้ยงปุ๊บก็โดนจับเลย ปู่มันรับไอ้โจปุ๊บโดนศาลสั่งล้มละลาย อย่างนี้ไม่เรียกตัวซวยก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว ออกไปได้แล้ว ไอ้โจ อย่าอยู่นาน”

พอแม่พาโจเดินน้ำตาคลอออกไป ญาติคนนั้นก็เอาไม้กวาดมากวาดตรงที่โจยืนปากก็พูดไล่เป็นการแก้เคล็ด...

“ซวยๆ ออกไป ซวยๆ ออกไป”

แม่พาโจเดินตุหรัดตุเหร่ไปนั่งเศร้ามืดแปดด้าน หลวงพ่อสีสุกกวาดลานวัดอยู่ เดินมาหาแม่กับโจถามอย่างเมตตา

“ร้องไห้ทำไมเหรอโยม...”

แต่นั้นมา โจก็ได้อยู่กับหลวงพ่อสีสุก แม่สั่งเสียโจก่อนกราบลาหลวงพ่อว่า

“โจอยู่กับหลวงพ่อต้องทำตัวดีๆนะ สัญญากับแม่นะ พอคดีหมดอายุความแล้วแม่จะกลับมาหาลูกนะ” แม่กอดโจแน่นก่อนจากไปทั้งน้ำตา...

ooooooo

วันต่อมา เด็กชายโจในวัย 10 ขวบ ก็ถือถัง พลาสติก เดินตามหลวงพ่อไปบิณฑบาต โจถาม หลวงพ่อว่า

“หลวงพ่อรับเลี้ยงผม ไม่กลัวเหรอครับ ผมเป็นตัวซวยนะครับ ใครที่เลี้ยงผมไม่เคยมีใครรอดสักคน”

“ตัวซวยเหรอ ฉันไม่รู้จักหรอก ศาสนาพุทธไม่มีคำนี้”

โจถามว่าทำไมตนไปอยู่กับใครเขาก็พากันซวยทั้งนั้น หลวงพ่อบอกว่า

“ศาสนาพุทธสอนให้ใช้สติพิจารณา เหตุเกิดแต่ปัจจัย สิ่งที่เธอเห็นน่ะมันมีที่มาที่ไป”

“แล้วทำยังไงเราถึงจะพิจารณาจนรู้ที่มาที่ไปได้ล่ะครับ”

“คำว่าพิจารณานั่น หมายถึงให้เป็นคนใช้เหตุใช้ผล มีสติรู้ตัว และต้องเป็นคนช่างสังเกต อย่างเช่น...”

หลวงพ่อยกตัวอย่างทดสอบและสอนให้โจเป็นคนช่างสังเกต มีสติ ฉะนั้นจะพิจารณาว่าเขาเป็นตัวซวยนั้น ต้องมีสติมากกว่านี้ หัดพิจารณาให้ละเอียดกว่านี้ฟังหลวงพ่อแล้ว เด็กชายโจก็เริ่มรู้จักสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว อย่างละเอียด...

การอบรมบ่มสอนของหลวงพ่อสีสุก ปลูกฝังความช่างสังเกต มีสติแก่โจตราบทุกวันนี้ เขาจึงยึดเป็นหลักในการทำงานช่างสังเกตและมีสติอยู่เสมอ

อ่านละคร รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 2 วันที่ 13 พ.ค. 57

ละครรักออกฤทธิ์ บทประพันธ์ : นิตินันท์, วรรณพร, นิพล
ละครรักออกฤทธิ์ บทโทรทัศน์ : สมภพผูกพันน้อย
ละครรักออกฤทธิ์ กำกับการแสดง : คิง-สมจริง ศรีสุภาพ
ละครรักออกฤทธิ์ ดำเนินงานโดย : สมจริง ศรีสุภาพ
ละครรักออกฤทธิ์ ผลิต : บริษัท กู๊ด ฟีลลิ่ง จำกัด
ละครรักออกฤทธิ์ ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 20.25 น. และวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.15 น.
ละครรักออกฤทธิ์ ออกอากาศตอนแรกวันที่ 17 พฤษภาคม 2557 ทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ