@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 13/4 วันที่ 15 ต.ค. 55

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 13/4 วันที่ 15 ต.ค. 55

“แต่พี่แก้วชอบคุณฤทัยจริงๆ ค่ะ”
ภรตหันหน้ามามองมาลินี “ทำไมมดคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็...มดได้ยินกับหูน่ะสิคะ ท่าทางพี่แก้ว แคร์คุณฤทัยมากด้วย” ภรตมองอย่างสงสาร มาลินียิ้ม “มดไม่เป็นไรค่ะ....ก็ดี..ได้ยินชัดๆ จะได้รู้..จะได้ไม่มานั่งหวังลมๆ แล้งๆ อีก” มาลินีตักอาหารให้ภรต “ทานเยอะๆค่ะพี่ภรต ไม่หมดมดเสียใจแน่เลย”
ภรตมองมาลินี ทั้งสงสารและเห็นใจ

ตอนเย็นวันต่อมา ภาพิศมาเยี่ยมแฉล้มที่ยังคงไม่ฟื้น และกำลังยืนหันหลังกอดอกมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางยืนไม่ติดฟื้น ร้อนรุ่มในใจ

แฉล้มฟื้นตื่นขึ้นมาอีก สิ่งแรกที่ทำได้คือส่งเสียงครางออกมาอย่างเจ็บปวก ภาพิศเหลียวขวับ เดินมาหา
“คุณแฉล้ม”
แฉล้มหันมามองภาพิศท่าทางดีขึ้น “คุณ...” รีบบอกท่าทีร้อนใจ “นี่คุณรู้เรื่องรึยัง”
ภาพิศถามรัวเร็ว ตื่นเต้น พูดแทบไม่เป็นภาษา “เรื่องเด็กคนนั้นใช่มั้ย”
“ใช่!! เด็กคนนั้น ศุภาวีร์” น้ำเสียงแฉล้มรัวเร็วตื่นเต้นสุดขีด “ศุภาวีร์เป็นลูกคุณ”
ดวงหน้าของภาพิศซีดเผือด ถามเสียงรัวเร็วน้ำตาคลอ สติแตกแทบจะเป็นบ้า
“คุณอย่าล้อฉันเล่นนะ”
“ฉันพูดจริง เด็กคนนั้น ศุภาวีร์เป็นลูกคุณ ฉันไปที่บ้านเก่าคุณ เห็นทั้งเด็กคนนั้น ทั้งพี่เกริก...”



ภาพิศใจจะขาดเสียให้ได้ ฟังไม่ทันจบคำ ก็ร้องไห้วิ่งเตลิดออกนอกห้องไปทันที แฉล้มพยุงกายขึ้น ปลดสายน้ำเกลือออกลุกจากเตียง แล้ววิ่งตามด้วยความห่วงใย
เย็นนั้นสรวงอยู่ที่บ้านในอาการร้อนรนกระวนกระวาย เสียงของกรรณนรีที่เตือนเรื่องคุณหญิงสุดาผู้เป็นมารดาเมื่อวันก่อนติดค้างในใจดังก้องอยู่ในหัว

“การกระทำทุกอย่างของแม่คุณมันคือหลักฐาน ซักวันคุณต้องได้เห็นเอง”
“ไม่..แม่ต้องไม่ทำอะไรอย่างนั้น”
ปากว่าแต่สายตาคลางแคลงยิ่งนัก

ขณะเดียวกันสุดากำลังโทรศัพท์คุยกับร้านกำจัดปลวกอยู่ หน้าตาเข้มเคร่ง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตามนิสัยชอบวางอำนาจ
“ปลวกมันแทะบ้านฉันจนจะหมดหลังอยู่ คุณต้องมาจัดการให้ฉันเร็วที่สุด” นิ่งฟัง แล้วชักสีหน้าไม่พอใจ ถามเสียงเข้ม “อะไรนะไม่ว่าง....” ฟังต่อ
สรวงเดินเข้ามา ตั้งใจจับผิดสุดา ได้ยินเสียงสุดาฟังดูโหดเหี้ยม
“ไม่ได้! ฉันเกลียดมัน ฉันอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับมันไม่ได้ คุณต้องฆ่ามันให้เร็วที่สุด” จากนั้นก็วางสายอย่างฉุนเฉียว
สรวงเข้าใจผิด ถามออกไป “ทำไมคุณแม่เป็นคนใจร้ายแบบนี้ สั่งคนมาฆ่าใครอีก”
สุดาหัวเราะขำ “อะไรกันสรวง แม่ใจร้ายอะไร แม่ก็แค่สั่งคนมาฆ่าปลวก”
สรวงเยาะไม่เชื่อ “ปลวก”
“ก็ใช่น่ะสิ... พรรณีมาบอกว่าปลวกขึ้นพวกบิลด์อิน แม่เดินเช็กรอบบ้าน โอ้โห! พวกปลวกมันล่อแทบหมดบ้านเลย”
“คุณแม่คิดว่าผมเชื่อเหรอครับ”
สุดางุนงง สรวงเอาจริง สรวงไม่เชื่อ ต่อว่าสุดาอีก ด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ผมไม่เชื่อ และผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคุณแม่คิดอะไรอยู่...ถึงได้คิดทำร้ายคนนั้นคนนี้ไม่มีที่สุดสิ้น แม่โกหกผม หลอกใช้ผม แม่ทำยังกับผมเป็นคนโง่”
สุดาเสียใจ “ทำไมสรวงมองแม่ในแง่ร้ายอย่างนั้นล่ะลูก”
“เพราะคุณแม่ทำให้ผมเห็นครับ แม่ทำให้ผมเห็น”
สุดาตกใจมาก “สรวง”
“งั้นแม่ก็ตอบผมมาเรื่องกรรณนรี”
สุดาจ้องหน้าสรวง สรวงก็มองสุดา สองแม่ลูกสู้สายตากัน พรรณี แม่บ้านเข้ามาเห็นตกใจ จะถอย
“ประทานโทษค่ะ”
“มีอะไรว่ามา”
“ดิฉันเจอปลวกอีกแล้วค่ะ คราวนี้อยู่ในห้องรับแขก”
“ฉันตามคนมาฆ่ามันอยู่...รอก่อน”
“ค่ะๆ” แม่บ้านเดินออกไป
สรวงมองตามแม่บ้าน ชักงง เสียงมือถือของสุดาดัง สุดายื่นให้สรวง
“ไม่เชื่อแม่...สรวงก็รับดูสิ”
สรวงค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับมือถือ กดรับสาย ทันทีที่รับเสียงปลายสายก็ดังเข้ามา
“ขอโทษครับคุณหญิง ตะกี้ผมลืม ที่จะให้ไปกำจัดปลวก บ้านคุณหญิงอยู่ไหนครับ” สุดากับสรวงมองหน้ากัน เสียงคนในสายตะโกนลั่น “คุณหญิงๆ”
สุดาหยิบมือถือมากดปิดมองสรวงเสียใจ “แม่เสียใจ ที่สรวงเชื่อคนอื่นมากกว่าแม่ จนมองแม่ เป็นคนใจร้ายใจดำ ทั้งๆ ที่ผ่านมา คนที่ถูกกระทำ คือแม่
สุดาเดินไปอย่างฉุนเฉียว ทั้งโกรธ และน้อยใจ ขณะที่สรวงหน้าสลดลงด้วยความเสียใจ

ภาพิศขับรถมาตามทาง ตาปวมช้ำเพราะร้องไห้มาตลอดทาง ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ภาพเหตุการณ์ความหลังระหว่างกรรณนรีกับตัวเอง ผุดขึ้นมาราวกับสายน้ำไหล
ตั้งแต่กรรณนรีมาหาครั้งแรกที่คฤหาสน์ เห็นขนมเค้กที่นำออกมาให้ทาน กรรณนรีก็ร้องไห้ออกมา ทุกคำพูดของกรรณนรีหลายๆ คำล้วนกระแทกใจแต่ตนกลับไม่สำเหนียก
ภาพิศทำร้ายกรรณนรีต่างๆ นาๆ จนล่าสุดถึงกับวางแผนฆ่าให้ตาย
ยิ่งคิดภาพิศสุดแสนจะเสียใจ
ภาพิศไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง แฉล้มซึ่งเปลี่ยนชุดคนไข้แล้ว หอบสังขารอันแสนจะทรุดโทรม อ่อนล้านั่งแท็กซี่ตามมาด้วยความเป็นห่วง
เกินจะรับได้ ภาพิศตะโกนก้องรถ ไม่อยากให้เรื่องเลวร้ายเหล่านี้เป็นความจริง
“ไม่...มันต้องไม่จริง มันต้องไม่จริง”
สร้อยในมือหล่นร่วงไปอยู่ที่เท้าของภาพิศภายในรถ

เย็นนั้นสามพ่อลูกอยู่ภายในบ้าน นั่งทานข้าว ทานขนมกัน กรรณนรีเอ่ยขึ้น
“พี่มดทำขนมอร่อยขึ้นทุกวันเลยนะคะ”
“ฮื่อ! เสียดาย ไม่รู้มีอะไร มดรีบกลับ ไม่ได้คุยกัน” เกริกบอกโดยไม่คิดอะไร
“พี่แก้วทำอะไรให้พี่มดเสียใจรึเปล่า” กรรณนรีดักคอพี่ชาย
กาวินทร์งง “เปล่า...พี่ไม่ได้ทำ เดินเข้ามายังงอยู่เลย มดหายไปไหน”
“แล้วแฉล้มอาการเป็นไงมั่งลูก” เกริกถามถึงแฉล้มขึ้นมา
“กาวไม่ได้ไปค่ะ”
เกริกฉงน “อ้าว! ทำไมล่ะ”
“พอดีโทร.เข้าไปแล้วเจ้าหน้าที่ บอกว่าแม่ไปเฝ้าแล้วค่ะ” กรรณนรีบอก
เกริกได้ฟังก็เงียบกริบ สองพี่น้องมองหน้ากัน กาวินทร์รีบเปลี่ยนเรื่อง พูดกลบเกลื่อน
“วันนี้พ่อทำกับข้าวอร่อยมาก กินเยอะๆ นะพ่อ กินเยอะๆ กาว”
กาวินทร์เอาอกเอาใจ ตักอาหารให้พ่อให้น้อง กรรณนรีก็ร่วมด้วย รีบตักอาหารให้พ่อกับพี่ชายจนเกริกหัวเราะ
“ขุนพ่อกันขนาดนี้ งั้นเราสองคนก็ต้องกิน”
เกริกตักอาหารให้ลูกสองคน กลายเป็นว่าทุกคนแข่งกันตักข้าวตักอาหารยกใหญ่ พร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุข
โดยไม่รู้ว่าที่บริเวณหน้าบ้านยามนั้น ภาพิศจับประตูรั้วแอบมองอยู่ ขอบตาร้อนผ่าว มือไม้สั่นไปหมด ยิ่งมองเห็นแต่ความรักความอบอุ่น ภาพิศยิ่งร้องไห้หนักด้วยความสะเทือนใจ
“ลูกแม่....ลูกแม่จริงๆ”
ภาพิศมองไปยังกาวินทร์...กับเกริก ก็ยิ่งเจ็บปวดเสียใจ
ระหว่างนั้นแฉล้มตามมาทางด้านหลัง เดินเข้ามา กอดภาพิศร้องไห้ ในจังหวะเดียวกันทีด้านหลังสองคน ผัวเมียคู่หนึ่งไล่ตีกันมา ฝ่ายผัววิ่งหนีจุกตูด ส่วนเมียวิ่งไล่ตีไม่ลดละ
ปากยัยเมียร้องลั่น “หยุดเลยนะไอ้แก่ แก่ป่านนี้ยังมีเมียน้อยอีก หยุดๆๆๆ”

ภาพิศกับแฉล้มหันไปมอง เห็นผัวเมียไล่ตีกันมา พร้อมๆ กับไทยมุงที่เริ่มโผล่หน้าออกมาประสาหมู่มวลผู้ถือคติ...เรื่องของเขาเราต้องเกี่ยว
เช่นเดียวกับที่ด้านในบ้าน เกริกเหลียวขวับมองออกมา เห็นเหมือนภาพิศยืนอยู่ แต่ในมุมที่ไม่ชัด ทำให้เกิดความลังเลสงสัย เกริกลุกพรวดขึ้น

“อะไรพ่อ” กรรณนรีแปลกใจ
“ลุงศักดิ์กับน้าแก้วตีกันตามเคย ไม่มีอะไรหรอก” กาวินทร์ว่า
เกริกไม่ได้สนใจฟังลูกสองคน เดินออกมา กรรณนรีกับกาวินทร์ตามมา
ภาพิศเห็นสามคนกำลังออกมา กันตัวกลับแล้ววิ่งหนีออกไปแบบทำใจไม่ได้ แฉล้มวิ่งตาม

เกริก เดินแกมวิ่งออกมา พร้อมกาวินทร์ กับกรรณนรี เกริกมีท่าทีร้อนใจ กวาดสายตามองหาภาพิศ ในหมู่ไทยมุง แต่ก็ไม่เห็น ระหว่างนั้นสองป้าขาเมาท์ก็เดินปรี่เข้ามาหา
ตั๊กแตนถามขึ้นอย่างจับกิริยา “มองอะไรพ่อเกริก”
จักจั่นเสริมก่อนเกริกจะตอบ “ไม่มีอะไรหรอก ตาศักดิ์กับยัยแก้ว ตีกันเหมื้อนเดิม อยู่กันไม่ได้ก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม”
“ฉันว่ารักกันมากต่างหาก ถึงขาดกันไม่ได้” ตั๊กแตนพูดท่าทีขำๆ “เช้าตี เย็นต่อย สนุกจะตาย”
เกริกกวาดตามองหาภาพิศ แต่ปากตอบออกไป “น่าเบื่อ วุ่นวาย”
“สังคมทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ เดี๋ยวก็ข่าวนั่นข่าวนี่ อาทิตย์ก่อนเมียเป็นโรคจิตฆ่าหั่นศพผัว บรื๋อน่ากลัว” จักจั่นทำท่าสยอง ขนลุกขนพอง
“น่ากลัวจริงๆ กาว...อย่าถอดสร้อยที่พ่อให้นะลูก เข้าใจมั้ย” เกริกกำชับ
“ค่ะ” กรรณนรีรับคำ
“ค่ะ...แล้วถอดทำไม” เกริกถามเมื่อมองที่คอไม่เห็นสร้อย
กรรณนรีตะปบที่คอรู้ทันทีว่าสร้อยหาย ใจหายวูบ เกริก กาวินทร์มอง กรรณนรีรีบแก้ตัว
“เอ่อ..กาวถอดเก็บไว้ตอนอาบน่ะพ่อ”
“รีบไปใส่ซะ สร้อยศักดิ์สิทธิ์แม่ให้พ่อมา”
“ค่ะ”
ทุกคนแยกย้ายสลายโต๋ กรรณนรีหน้าเครียด ที่สร้อยหล่นหายไปโดยไม่รู้ตัว

ภาพิศวิ่งร้องไห้เข้ามาในบ้าน แฉล้มวิ่งตามมา ภาพิศทุ่มตัวลงบนเตียงร้องไห้คร่ำครวญปิ่มว่าจะขาดใจ
“ไม่..ไม่..ไม่จริง” ภาพิศกำมือทุบตีหมอน กรี๊ดร้อง ระบายความเจ็บปวดในใจ
แฉล้มวิ่งตามมา พยายามห้ามด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่ตัวเองก็ย่ำแย่
“คุณ..ใจเย็นๆ ก่อนคุณ”
ภาพิศแหวใส่ “คุณจะให้ฉันเย็นได้ยังไง ที่ผ่านมาฉันจะฆ่าลูกตัวเองนะคุณแฉล้ม” ภาพิศกรีด
เสียงร้องโหยหวน “ฉันจะฆ่าลูกตัวเอง” ฟูมฟายขึ้นมา และเริ่มอาละวาด ขว้างปาข้าวของในห้องอีก
แฉล้มห้าม กอดภาพิศเอาไว้ “ก็คุณไม่รู้นี่...”
“ก็แล้วทำไมฉันถึงได้โง่ขนาดนั้น..ที่โง่ๆๆๆๆ” ภาพิศแทบอยากจะกลั้นใจตาย “ที่ผ่านมา
ทำไมฉันไม่เคยฉุกคิด ทั้งๆ ที่กาวทำดีกับฉันมาตลอด”
ภาพิศมองหน้าแฉล้มร้องไห้คร่ำครวญ อย่างน่าเวทนา
“คุณรู้มั้ย ฉันอยากเข้าไปกอด อยากเข้าไปจูบ อยากเข้าไปขอโทษลูก แต่ฉันก็ละอาย ละอายที่จะหน้าด้านเดินเข้าไป...ที่ผ่านมาฉันไม่ได้เลี้ยงดูเค้าไม่พอ แต่ฉัน..ฉันยังจะฆ่าเค้าอีก”
แฉล้มปลอบ “แต่คุณอธิบายให้เค้าฟังได้นี่…”
“ใช่..ฉันอธิบายได้...แต่ลูกฉันจะคิดยังไง? พี่เกริก...พี่เกริกจะว่ายังไง ถ้าลูกที่แสนรักเป็นเมียน้อย...เมียน้อยของท่านอารักษ์...ผู้ชายที่พรากฉันไปจากพี่เกริก”
“แล้วคุณจะปล่อยให้ลูกคุณตกอยู่ในสภาพนี้น่ะเหรอ?”
ภาพิศเสียงสั่น “ไม่..ไม่มีวัน ฉันไม่มีวันปล่อยให้ลูกมัวหมองอย่างเด็ดขาด ไม่มีวัน...”
ภาพิศกรี๊ดร้องออกมาสุดเสียงก่อนหมดสติไป แฉล้มร้องเรียก
“คุณภาพิศๆๆ” แฉล้มตกใจตะโกนลั่นบ้าน “น้อย..เรียกหมอมาเร็ว น้อย”
น้อยชะโงกหน้าเข้ามาให้อง “ค่า” แล้ววิ่งออกไป
แฉล้มมองอย่างเวทนา...ลูบเนื้อลูบตัวภาพิศ “โธ่เอ๊ยย...นี่ฉันเป็นคนนำไฟให้คุณหรือนี่” แฉล้มครางมองภาพิศรู้สึกผิดเหลือเกิน

คืนนั้นเกริกเดินเข้ามาในห้อง ท่าทางครุ่นคิด ตอนที่เห็นหน้าภาพิศ
“เราไม่น่าจะตาฝาด” เกริกส่ายหน้าสลัดความคิด หยิบมือถือบนเตียง เห็นมิสคอลค้างอยู่หน้าจอ “ใครโทร.มา” กดดูเห็นเป็นเบอร์ภาพิศ “ถ้าอย่างนั้นเราไม่ได้ตาฝาดแน่ นุดีมาที่นี่”

ส่วนภาพิศนอนน้ำตาไหลอยู่ในห้องนอน ในมือถือสร้อยเอาไว้ น้ำตาริน แฉล้มเดินเอานมมาให้
“โชคดีนะ ที่เด็กในท้องไม่เป็นอะไร” แฉล้มบอกอย่างโล่งอก
ภาพิศลูบท้องเบาๆ “ถ้าเป็น..ฉันคงบาปยิ่งกว่าเดิม...”
แฉล้มวางแก้วนมลง แต่ภาพิศไม่กิน “อย่าคิดในทางที่จะทำให้ตัวเองแย่ไปกว่าเดิมสิ มันไม่มีประโยชน์ คุณต้องคิดไปข้างหน้า ในเมื่อคุณเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับลูก คุณจะทำยังไงต่อไป”
“ฉันจะสืบหาความจริง”
“ความจริง” แฉล้มฉงน
“มันต้องมีเหตุผลอะไรที่ทำให้กาวต้องเอาตัวเองมาพัวพันกับท่านอารักษ์ แล้วยิ่งฉันประติดประต่อเรื่องทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ฉันยิ่งรู้สึกว่ามันมีเงื่อนงำ”
แฉล้มครุ่นคิดตาม “คุณหมายความว่า...”
ภาพิศตาวาววับโกรธแค้นสุดาขึ้นมา “คุณหญิงสุดา ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่”
“ก็ไปถามลูกคุณเลยสิ...”
“คุณคิดว่ากาวลงทุนทำขนาดนั้นแล้ว...กาวจะบอกง่ายๆ เหรอ ไม่มีทาง..หรือต่อให้กาวบอกว่าทุกอย่างมาจากคุณหญิงสุดาจริงๆ...ลูกจะให้ฉันทำผิด ทำชั่วด้วยการไปกระชากหัวนังคุณหญิงสุดามาตบเหรอ? ถึงฉันจะไม่ได้เลี้ยงดูลูกมา...แต่ฉันก็รู้ดี..ลูกไม่มีทางปล่อยให้ฉันทำอย่างนั้นแน่”
แฉล้มเตือนสติ “คุณต้องใจเย็นๆ”
“ใช่! ฉันต้องใจเย็นๆ แกล้งโง่อีกครั้งแล้วก็ค้นหาเรื่องทุกอย่างเอง แล้วถ้าคุณหญิงสุดา อยู่เบื้องหลังอย่างที่เราคิด ฉันจะเอาคืนมันให้แสบสันต์ที่สุด”

ภาพิศคำราม ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้นสุดา
เช้าวันรุ่งขึ้น สรวงเดินลงบันไดมาที่ห้องโถง เจอสุดาที่นั่งหน้าบูดบึ้ง เพราะน้อยใจเรื่องถูกลูกชายด่าว่าเมื่อวาน สรวงใจไม่ดีรีบตรงเข้าไปขอโทษ

“คุณแม่..ผมขอโทษ”
“ขอโทษตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? ในเมื่อสรวงเชื่อคนอื่นไปแล้ว สรวงด่าแม่”
สรวงอึดอัดลำบากใจ สุดาถามเสียงเครือ
“ด่า...ทั้งๆ ที่แม่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย...ใช่! แม่อาจจะเคยทำความผิด แต่มันก็เป็นเพราะแม่ทำเพื่อปกป้องครอบครัว...แม่ถามจริงๆ แม่ผิดเหรอ?...แม่เสียใจ...เมื่อก่อนสรวงก็เคยอยู่ข้างแม่ แต่ตอนนี้สรวงจับผิดแม่...มันเกิดอะไรขึ้นสรวง มันเกิดอะไร”
สุดาร้องไห้ฟูมฟายแล้วเดินหนีไป
สรวงเดินตามพูดง้อ “ผมยังอยู่ข้างแม่เหมือนเดิม”
“แต่สิ่งที่สรวงทำมันไม่ใช่...” น้ำเสียงสุดาเริ่มแผ่วลง “ส่วนเรื่องกรรณนรี แม่ผิดเหรอที่ไม่อยากจดจำ แม่อยากลืมทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับภาพิศ...แม่กับเค้าจะได้อยู่กันอย่างสนิทใจ แม่ผิดเหรอที่แม่จะบอกว่าไม่รู้จักกรรณนรี”
สุดาพูดโกหก แล้วเดินหนีไป สรวงได้แต่กลัดกลุ้ม เสียใจ ตะโกนไล่ตามหลัง
“คุณแม่ไม่ผิดครับ ผมเองนี่ล่ะผิด ผมขอโทษ..ต่อไปผมจะตามใจคุณแม่ ผมจะไม่ขัดใจ ผมจะไม่ทำให้คุณแม่เสียใจ”
สุดาได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แต่ไม่ยอมหยุด แกล้งงอนต่อเดินหนีไป

ทางด้านกรรณนรีอยู่ที่บ้าน ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ตบตีกับภาพิศ และมั่นใจว่าสร้อยต้องหล่นตอนนั้นแน่
“สร้อยต้องหล่นตอนนั้นแน่ๆ”
กรรณนรีกลุ้มใจ

ห้วงเวลาเดียวกันภาพิศหยิบเอาสร้อยขึ้นมาดูร้องไห้ฟูมฟายออกมาอีก ดวงตาเต็มไปด้วยความขุ่นข้อง ครุ่นคิดถึงคำพูดสุดาเป็นฉากๆ
ตอนที่สุดาด่ากรรณนรีและบอกว่าอยากรู้ว่าแม่มันเป็นยังไงก็ให้ไปส่องกระจกดู สุดาด่าย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่า แม่กรรณนรีต้องเป็นคนเลว
เมื่อประมวลเหตุการณ์แล้วสีหน้าแววตาภาพิศยิ่งมั่นใจ..พูดกับตัวเองในใจ
“เรื่องทั้งหมดคุณหญิงสุดาต้องเกี่ยวแน่ๆ”

สรวงนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน แต่ใจไม่อยู่กับงานเอาเสียเลย ครุ่นคิดติดใจแต่เรื่องสุดา และกรรณนรี เพราะสองคนพูดไม่เหมือนกัน หนังคนละม้วน
“แล้วจะเชื่อใคร”
สีหน้าสรวงเครียดหนัก

ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง สุขฤทัยประจบเอาใจสุดา หลังฟังเรื่องราวจบ
“โอ้โห! ดราม่าหนักมาก ฤทัยอยากเห็นภาพตอนนั้นจริงๆ สรวงเชื่อคุณหญิงแม่สนิทใจเลยใช่มั้ยคะ”
สุดายิ้มสะใจ “ใช่ แต่พูดไปแล้ว อยากตบนังกรรณนรีจริงๆ ก่อนไปยังอุตส่าห์วางยาแม่อีก”
“ตบเลยค่ะฤทัยช่วย...จะตบมันให้น่วมเหมือนตบวอลเล่ย์บอลเลย เกลียดนักหน้าจืดๆ มาทำเป็นเชิดหน้า คงคิดว่าตัวเองสวยตายล่ะ ทั้งๆ ที่ความจริงอาซิ้มลืมแต่งหน้าชัดๆ”

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 13/4 วันที่ 15 ต.ค. 55

ละครเรื่อง ไฟมาร บทประพันธ์โดย : เกตุวดี
ละครเรื่อง ไฟมาร บทโทรทัศน์โดย : พนิดา
ละครเรื่อง ไฟมาร กำกับการแสดง : ทองสิทธิ์ โสดาโคตร , กฤษฎากร มะลิวัลย์
ละครเรื่อง ไฟมาร ผลิตโดย : บริษัทดาราวิดีโอ จำกัด
ละครเรื่อง ไฟมาร แนวละคร : ดราม่าเข้มข้น
ละครเรื่อง ไฟมาร ออกอากาศ : พุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา manager