อ่านละคร บ่วงบาป ตอนที่ 12/6 วันที่ 6 มี.ค. 56
“อาคมของหมอไสย์คืนกลับมาแล้ว”“เจ้าค่ะ หนำซ้ำหน้ามันยังดูเหี้ยมกว่าเดิมด้วยเจ้าค่ะ จวงก็เลยมีแผนเด็ด”
“แผนอะไร”
จวงแบมือยิ้มทะเล้น รำพึงหันขวับส่งตาดุ
“จวงหยอกเล่นเจ้าค่ะ จวงบอกก็ได้ จวงมีแผนว่าถ้าเราตามหานังชุ่มไม่เจอด้วยตาเปล่า เราก็ใช้ตาทิพย์ของไอ้หมอไสยช่วยหา ดีไหมเจ้าคะ”
“ไม่ดี”
“อ้าว...ทำไมล่ะเจ้าคะ”
“ไปตามหาทำไมให้เสียเวลา สู้ให้ไอ้หมอไสยส่งของต่ำไปจัดการมันดีกว่า นังทาสชั้นต่ำมันจะได้ตาย โดยที่ข้าไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย!”
รำพึงสีหน้าร้ายกาจ
ในเวลากลางคืน รำพึงกับขุนไวเดินออกมาจากในเรือน จวงตามมาด้วย ขุนไวใส่ชุดไปงาน รำพึงทำหน้าซีดเซียว
“น้องโกรธตัวเองเหลือเกินค่ะ ทำไมต้องมาปวดหัวเอาวันนี้ เลยไม่ได้ไปงานเรือนท่านเจ้าคุณพิชัยกับคุณพี่”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แต่น้องไม่ไปก็ดีเหมือนกัน พี่ไม่อยากให้ใครมองน้อง”
“ไม่มีใครกล้าชายตามองเมียสุดรักสุดหวงของท่านขุนไวหรอกเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวหัวจะหลุดออกจากบ่า” จวงบอก
“สอดนักนังจวง”
จวงจ๋อย รำพึงพูดต่อ
“คุณพี่รีบไปเถอะค่ะ”
“แล้วพี่จะรีบกลับนะ”
ขุนไวจูบหน้าผากรำพึง ขณะที่รำพึงฝืนยิ้มไม่มีอารมณ์ ขุนไวเดินออกไป จวงชะเง้อมองตามไปจนขุนไวลับตาแล้วกลับมาพูดกับรำพึง
“ไปกันเลยไหมเจ้าคะ”
“ข้าไปแต่เอ็งต้องอยู่ที่นี่ เผื่อคุณพี่กลับมาเร็ว เอ็งจะได้คิดหาทางรับหน้าไปก่อน”
“จวงคิดไม่ออกหรอกเจ้าค่ะ”
“เรื่องแค่นี้ถ้าคิดไม่ออก เอ็งก็รอไปคิดต่อในหลุมได้เลย”
รำพึงเดินออกไปเลย จวงเหวอ
“อ้าว...ไหงโยนบาปมาให้จวงง่ายๆแบบนี้ล่ะเจ้าคะทูนหัวของบ่าว”
ในเวลากลางคืน ชุ่มยื่นชามยาแตะริมฝีปากของขุนพิทักษ์ที่เบือนหน้าหนี
“ข้าไม่กิน”
ชุ่มพยายามป้อนยาขุนพิทักษ์อีก
“บอกแล้วไงว่าข้าไม่กิน ถ้าข้าต้องตาบอดไปตลอดชีวิต ข้าขอตายซะดีกว่า”
ชุ่มทั้งเหนื่อยใจและสงสาร
“ข้าคิดถึงเมียข้า”
ชุ่มชะงัก
“แต่ข้าตาบอดแบบนี้ ข้าจะไปตามหาเมียกับลูกข้าได้ยังไง ข้ามันไม่เอาไหน ไม่เคยปกป้องพวกเขาได้เลย ข้าเกลียดตัวเอง เกลียดๆ”
ขุนพิทักษ์ใช้มือชกกำแพง ชุ่มพยายามจับมือห้าม ขุนพิทักษ์ยังคงชกไม่หยุด
“ข้าอยากตายๆ”
ชุ่มห้ามไม่ไหวตัดสินใจกอดเขาแน่น ขุนพิทักษ์หยุดคลั่ง เพราะคุ้นกับสัมผัสนี้
ขุนพิทักษ์นึกถึงอดีตตอนกอดชุ่ม ตอนเอียงหน้าซบกับผมชุ่ม พร้อมๆ กับยกมือกอดชุ่มตอบแล้วตอนกระชิบรักข้างหูชุ่ม
ขุนพิทักษ์คุ้นกับสัมผัสเอ่ยชื่อออกมาไม่รู้ตัว
“ชุ่ม...”
ชุ่มรู้สึกตัวรีบผละออกจากขุนพิทักษ์ และวิ่งออกไป ขุนพิทักษ์ตะกายมือหา
“ชุ่ม ! เป็นเอ็งจริงๆใช่ไหม? ชุ่ม”
ชุ่มเปิดประตูออกมาที่หน้ากระท่อม พลางทรุดตัวนั่งร้องไห้โฮอย่างอัดอั้น
รำพึงใช้ผ้าคลุมหน้าเดินมาหยุดหน้าเรือนหมอไสย์ ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป รำพึงก้าวเข้ามา หมอไสย์นั่งสมาธิอยู่หน้าหิ้ง เขาพูดโดยไม่หันหน้ามามอง
“ไม่เจอกันตั้งนาน คิดว่าเจ้าจะสบายดีเสียอีก”
“ข้าสบายดี”
หมอไสย์หัวเราะในลำคอ
“ถ้าเจ้าสบายดี เจ้าคงไม่มาที่นี่หรอก”
รำพึงชะงักไปเหมือนกัน
“เจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยว่ามาเลย ข้าอยากลองวิชาเต็มทนแล้ว”
รำพึงยิ้มร้าย
เลือดในอ่างพิธีกำลังเดือดปุดๆ หมอไสย์หลับตาบริกรรมคาถา แล้วเป่าลงไปในน้ำ ภาพชุ่มร้องไห้ปรากฏบนผิวน้ำ หมอไสย์ยิ้มแสยะหันมาบอกรำพึงที่นั่งชะเง้อคอย
“ผู้หญิงคนนั้นยังมีชีวิตอยู่”
รำพึงตาวาว
“มันอยู่ไหน”
หมอไสย์จ้องลงในน้ำอีกครั้งแล้วบอก
“ที่ไหนสักแห่งที่มีบึงน้ำ”
รำพึงโวยวายอย่างใจร้อน
“ก็แล้วมันบึงไหนกันเล่า บึงน้ำมีตั้งเยอะแยะ”
หมอไสย์ตวัดตามองรำพึงอย่างไม่พอใจ
รำพึงชะงักวูบไปเกรงสายตาหมอไสย์
“ถึงข้าจะไม่รู้ชัดว่ามันอยู่ที่ไหน แต่บริวารของข้าต้องตามมันจนเจอได้แน่”
รำพึงมองไปที่หัวกะโหลกที่ดูน่ากลัว
“หมายความว่า...”
หมอไสย์หัวเราะอย่างน่ากลัว
รำพึงสั่งเสียงเหี้ยม
“จัดการให้นังชุ่มมันตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุด”
“ได้ แต่ครั้งนี้ เจ้าต้องตอบแทนข้ามากกว่าครั้งก่อน”
“ข้ายินดี”
หมอไสย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วสั่ง
“หยิบโถบนหิ้งมาให้ข้า”
รำพึงลุกขึ้นไปหยิบโถที่วางอยู่มุมหนึ่งของหิ้ง
“ระวังให้ดี ถ้าเจ้าทำดินเจ็ดป่าช้าตกพื้น ข้าก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้”
“ดินเจ็ดป่าช้า”
หมอไสย์เปิดฝาโถ เสียงคำรามของภูตผีดังก้องขึ้น หมอไสย์ควักก้อนดินขึ้นแล้วเริ่มปั้น ปากพร่ำบริกรรมคาถาไม่หยุด รำพึงมองอย่างใจจดใจจ่อ
หมอไสย์ปั้นดินเป็นรูปหุ่นผี เอาสายสิญจน์สีดำพันรอบตัวหุ่น ปากบริกรรมคาถาต่อเนื่อง จากนั้นนำมีดพร้ามาจ่อที่หัวหุ่น พลางบริกรรมคาถารัวเร็ว ดวงตาถมึงทึง
“ไปจัดการมัน”
ชุ่มร้องไห้อยู่ที่ท่าน้ำหน้ากระท่อมท้ายป่า หุ่นดินผีล่องลอยมาแต่ไกลแล้วพุ่งเข้าไปหาชุ่มทางด้านหลัง ครั้นจวนจะถึงตัวชุ่ม ก็บังเกิดแสงสีทองบังกายชุ่มไว้ ชุ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง หันหลังขวับไปมอง
“ใครน่ะ”
ชุ่มไม่เห็นอะไรมีแต่ความว่างเปล่า
มีดอาคมกระแทกออกจากหุ่นผีอย่างแรง จนหมอไสย์ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
หมอไสย์นิ่วหน้าคิด
“นังผู้หญิงคนนั้นมันท้องอยู่ใช่ไหม”
“ใช่ เกี่ยวอะไรกับที่นังชุ่มท้อง”
“วิญญาณบริสุทธิ์ปกป้องผู้เป็นแม่!”
รำพึงขัดใจหน้าเสีย
ในกระท่อมท้ายป่า ขุนพิทักษ์นั่งครุ่นคิดแล้วยิ้มอย่างแน่ใจ
“ข้าจะพิสูจน์ให้ได้ว่าเจ้าคือชุ่ม”
หมอไสย์ยกมีดอาคม กรีดที่นิ้วบนฝ่ามือของตัวเองอีกข้างหนึ่ง รำพึงมองอย่างใจระทึกและทำหน้าสยอง จากนั้นก็ให้หยดเลือดไหลหยดลงไปที่กลางหุ่น ครั้งนี้มีหุ่นตัวที่สองเพิ่มขึ้นมา
เลือดสีแดงสดถูกหยดลงทั่วตัวหุ่น หมอไสย์ยิ้มเหี้ยมบอกรำพึง
“คราวนี้วิญญาณบริสุทธิ์หน้าไหนก็ปกป้องศัตรูของเจ้าอีกไม่ได้แล้ว”
เสียงคำรามของภูตผีดังแหวกโพรงหญ้า ผ่านต้นไม้มุ่งหน้าไปยังกระท่อมของชุ่มอย่างรวดเร็ว
ชุ่มปาดน้ำตาป้อยๆ แล้วได้ยินเสียงชามแตกดังอยู่ในกระท่อม
“ท่านขุน !”
ภูติผีกำลังลอยพุ่งไปหาชุ่ม แต่ชุ่มลุกเข้าไปในกระท่อม ขุนพิทักษ์นอนอยู่บนพื้น มือเปื้อนเลือด
ชุ่มปราดเข้าไปหา ความตกใจทำให้ชุ่มหลุดพูดออกมา
“ท่านขุน !”
ที่ด้านนอกกระท่อม สัมภเวสียืนตาแดงวาวด้วยความแค้น มือค่อยๆกำแน่นก่อนพุ่งเข้าไปในกระท่อม
ภายในกระท่อม ขุนพิทักษ์รวบมือชุ่มแล้วพลิกตัวมากอดแน่น
“ชุ่ม..เป็นเจ้าจริงๆ เจ้าอยู่กับข้ามาตลอด”
จังหวะที่ขุนพิทักษ์พลิกตัวมากอดชุ่ม ทำให้ร่างขุนพิทักษ์บังชุ่มไว้ สัมภเวสีที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วกระแทกเข้าตัวขุนพิทักษ์จนร่างกระตุกไปข้างหน้า บังเกิดเงาดำซ้อนทับร่างขุนพิทักษ์
หมอไสย์ลืมตาแล้วยิ้มร้าย รำพึงถาม
“สำเร็จแล้วใช่ไหม”
“เมื่อเทียนเล่มนี้หมด มันจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
เทียนดำบนหิ้งที่เหลือแค่ประมาณนิ้วชี้ค่อยๆ หมดลง รำพึงยิ้มร้าย
ขุนพิทักษ์ชักดิ้นอย่างทรมานในกระท่อม
“ท่านขุน ! ท่านอย่าหลอกข้าแบบนี้ ไม่งั้นข้าจะไม่ยกโทษให้ท่าน”
แต่ขุนพิทักษ์ยิ่งดิ้นตะโกนร้องอย่างเจ็บปวด อวัยวะภายในร่างกายคล้ายถูกบีบอย่างแรง
“อ๊าก”
สัมภเวสีกำลังบดขยี้ร่างขุนพิทักษ์ให้ทุกข์ทรมาน แล้วขุนพิทักษ์ก็ถูกอำนาจผีในตัวเหวี่ยงกระเด็นล้มกลิ้งไปนอกกระท่อม
“ท่านขุน !”
ชุ่มรีบตามออกไป
บริเวณหน้ากระท่อม ชุ่มปราดเข้าไปจับขุนพิทักษ์ แต่ถูกผลักกระเด็น ขุนพิทักษ์ลุกขึ้นดิ้นพล่านๆ
“ท่านขุน ท่านเป็นอะไร”
“ข้าปวด !”
ชุ่มเข้าไปจับร่างขุนพิทักษ์ แต่โดนแรงเหวี่ยงกระเด็นไปอีก
เทียนบนหิ้งหมอไสยใกล้จะหมดเล่ม
ขุนพิทักษ์กระอักเลือดร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด ร่างถลาไปกระแทกต้นไม้ ชุ่มตะลึงจะเข้าไปช่วย
“ท่านขุน !”
ร่างขุนพิทักษ์ถลาไปฟาดกับต้นไม้อีกต้น ชุ่มจับไว้ไม่อยู่ได้แต่ร้องไห้มองขุนพิทักษ์
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยท่านขุนด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ร่างขุนพิทักษ์กระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้จนหัวแตกเลือดไหลนอง และแน่นิ่งลงไปกับพื้น
“ท่านขุน !”
ขุนพิทักษ์ตัวสั่นเกร็งไปทั้งตัวเพราะผีร้ายกำลังบดขยี้กระดูก ชุ่มร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก
เทียนบนหิ้งหมอไสย์เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้น รำพึงจ้องลุ้น
ขุนพิทักษ์เกร็งไปทั้งตัว ชุ่มกอดร่างขุนพิทักษ์แล้วร้องไห้อย่างหมดหวัง
เสียงสวดมนต์แผ่เมตตาดังขึ้น ชุ่มหันไปเห็นหลวงตามั่นยืนอยู่ก็ดีใจ
“หลวงตา !”
หลวงตาก้าวเข้าไปใกล้ขุนพิทักษ์ ชุ่มถอยออกไป หลวงตามั่นจิ้มปลายกริชลงบนหน้าผากขุนพิทักษ์ บังเกิดแสงสีทองสว่างวาบจากปลายกริช ขุนพิทักษ์ตาเหลือก อ้าปากตะโกนร้องสุดเสียง
ไฟลุกพรึ่บไหม้หุ่นดินเจ็ดป่าช้าจนมอดไหม้ หมอไสย์โกรธ
“มีคนช่วยมัน!”
“ใคร”
“เป็นคนที่มีบารมีแก่กล้า”
“เป็นใครข้าไม่สน แต่ท่านต้องฆ่านังชุ่มให้ได้”
“ข้าช่วยเจ้าฆ่ามันได้แน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“แต่ข้าต้องการให้มันตายเดี๋ยวนี้ ! อ๋อ...จะเรียกอัฐเพิ่มล่ะสิ... เอาไป”
รำพึงควักถุงเงินจากผ้าถุง ปาลงพื้นให้หมอไสย์
“ข้าบอกว่ายังไม่ใช่ตอนนี้”
“ ไม่ทำ หรือทำไม่ได้”
“รำพึง!ไม่เคยมีใครหยามศักดิ์ศรีข้าแบบนี้”
“งั้นก็ฆ่านังชุ่มเสียสิ แล้วท่านอยากได้อะไร ข้าจะให้ท่านทุกอย่าง”
หมอไสย์เสียงเหี้ยม
“งั้นก็ให้ข้าตอนนี้เลยแล้วกัน”
“ถ้าต้องการอัฐเพิ่ม วันพรุ่งข้าจะเอามาให้”
“แต่สิ่งที่ข้าต้องการ ไม่ใช่เงิน!”
หมอไสย์ย่างสามขุมเข้าไปใกล้รำพึง มองร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า นัยน์ตาเป็นประกาย รำพึงมองอย่างหวั่นใจ ถอยกรูดทันที
“หยุดความคิดชั่วๆ ของเอ็งเดี๋ยวนี้”
“หญิงหลายผัวอย่างเอ็งก็ชั่วไม่แพ้ข้าหรอก”
รำพึงสะดุดล้มลงที่พื้น
“โอ๊ย !”
หมอไสย์ก้าวเข้าไปหา รำพึงคลานถอยด้วยความกลัว
“อย่านะ ถ้าเอ็งทำอะไรข้า เอ็งจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
“ข้าว่าคุ้ม”
หมอไสย์พุ่งเข้าไปหา เสียงรำพึงร้องกรี๊ด ไฟเผาไหม้หุ่นดินเจ็ดป่าช้า เปลวไฟโชติช่วงดังไฟราคะ
ขุนพิทักษ์นอนสลบอยู่บนแคร่ ชุ่มนั่งอยู่ข้างๆ มองอย่างห่วงใย หลวงตามั่นยืนอยู่
“ท่านขุนจะเป็นอะไรไหมเจ้าคะ”
“เขาปลอดภัยแล้ว ของต่ำมนต์ดำออกจากตัวโยมขุนพิทักษ์หมดแล้ว”
อ่านละคร บ่วงบาป ตอนที่ 12/6 วันที่ 6 มี.ค. 56
ละครเรื่อง บ่วงบาป บทประพันธ์ : อัจฉรียาละครเรื่อง บ่วงบาป บทโทรทัศน์ : พอวาสน์-นันทพร
ละครเรื่อง บ่วงบาป กำกับการแสดง : กฤษฎา เตชะนิโลบล
ละครเรื่อง บ่วงบาป แนวละคร : ดราม่า
ละครเรื่อง บ่วงบาป ผลิต : บ้านละคอนโดย อรพรรณ วัชรพล
ละครเรื่อง บ่วงบาป ออกอากาศทุกวันพุธและพฤหัสบดี เวลา 20.15 น.
ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่ม กุมภาพันธ์ ทางไทยทีวีสีช่อง3
ที่มา manager