@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 30 พ.ย. 55

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 30 พ.ย. 55

“ก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องที่จะต้องสะสางก่อน” พิสัยมีสายตาเหี้ยมเกรียม
“คนอย่างฉันไม่มีวันยอมให้ไอ้ต้นมาไล่เหมือนหมูเหมือนหมาได้ตามใจชอบหรอก”พิสัยมีสีหน้าอาฆาต
ปราณจับตามมองพิสัยแล้วยิ้มพอใจที่จะได้มนุษย์ที่จิตใจอำมหิตเช่นนี้เป็นเจ้าของกล่องรากบุญคนต่อไป

ที่โถงบ้านเจติยา นิษฐาเดินตามมาขอร้องเจติยาอย่างไม่ลดละ
เจติยาหนักใจจึงเดินหนี “ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับพี่หมวดแล้ว หน้าเค้ายังไม่กล้าเจอเลย”
นิษฐาเดินตามเจติยาเพราะเป็นห่วงนวัช “แล้วแกไม่สงสารพี่เค้าบางเหรอ”

“เค้าไม่ใช่คนอ่อนแออย่างงั้นหรอกน่า กะอีแค่อกหัก พี่หมวดไม่ฆ่าตัวตายหรอก”
นิษฐาแขวะเพื่อน “กะอีแค่อกหัก ผู้หญิงใจโหด” นิษฐาค้อนใส่
เจติยาถอนใจออกมา



“เจ พี่หมวดเค้าแอบชอบแกมานานมากแล้วนะ”
เจติยาอ่อนใจ “เอาล่ะ สมมุติว่าฉันไปคุยกับพี่เค้า แล้วแกจะให้ฉันพูดอะไร” เจติยาแกล้งดัดเสียงและทำท่า “พี่หมวดคะ เลิกอกหักเถอะค่ะ เราเป็นพี่เป็นน้องกันได้ไม่ใช่เหรอคะ หรือจะให้บอกว่า เจเปลี่ยนใจแล้ว เพราะเจสงสารพี่หมวดค่ะ เรามาเป็นแฟนกันก็แล้วกัน แกจะเอาแบบไหน”
นิษฐาหงุดหงิด “แกไม่ต้องมาประชดฉันเลยนะ ฉันก็แค่สงสารพี่หมวดเค้า”
“ฉันรู้ แต่ความสงสารมันแก้ปัญหาไม่ได้หรอกนะ ให้เวลาพี่หมวดเค้าทำใจไม่ดีกว่าเหรอ” เจติยาจ้องหน้า “ช่วงนี้แกก็หมั่นไปดูแลเค้าหน่อย มัวแต่แอบรัก แอบห่วงเค้าลับหลังยังงี้ ใครเค้าจะเห็น”
นิษฐาอึ้งปนอาย “เจ”
“กล้าๆ หน่อย” เจติยาเดินหนีขึ้นบ้านไปเลย
นิษฐาค้อนตามใส่เพื่อน แต่ก็ค่อยคิดตามที่เจติยาพูด ยอมรับว่าที่เจติยาพูดก็ถูก
นักพนันจำนวนหนึ่งกำลังเปิดบ่อนเล่นพนันกันอยู่ในโถงบ้าน ทันใดนั้น ตำรวจกลุ่มหนึ่งก็พังประตูหน้าต่างแล้วกรูกันเข้ามาจับบรรดานักพนันทันที กลุ่มนักพนันตกใจ บางคนวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง แต่ส่วนใหญ่ถูกตำรวจจับได้หมด
นวัชกับตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งกำลังซุ่มอยู่นอกบ้าน นวัชมีท่าทีเหม่อลอยเพราะอกหักจากเจติยาจนเซื่องซึม และใจลอยไปหมด
ตำรวจนายหนึ่งดูสถานการณ์ในบ้านแล้วก็พูดกับนวัช “หนีมาทางเราแล้วครับ”
นวัชเหม่อลอยทำให้ไม่ได้ยินแม้แต่น้อย
ตำรวจนายนั้นเห็นนวัชเหม่อก็เรียก “หมวดครับ”
นวัชเพิ่งรู้ตัว “อะไรจ่า”
ทันใดนั้นนักพนันกลุ่มหนึ่งก็วิ่งหนีออกมาจากบ้าน พวกตำรวจที่ซุ่มอยู่รีบกรูกันเข้าไปจับนักพนันที่หนีออกมาทันที นวัชตรงเข้าไปจับตัวนักพนันคนหนึ่งไว้แต่ด้วยความที่สติไม่อยู่กับตัวนักพนันคนนั้นเลยสลัดหลุด ก่อนที่จะหันไปชกหน้านวัชจนหน้าหงาย นวัชเสียหลักเซหัวไปโขกกับรั้วบ้านจนหัวแตกเลือดไหลออกมา
แต่นักพนันคนนั้นก็หนีไม่รอดเพราะโดนตำรวจที่เหลือเข้ามาล็อกตัวไว้ได้ นวัชยกมือขึ้นกุมหัวที่แตกเลือดไหลออกมาด้วยสีหน้าเจ็บๆ

นวัชทำแผลเสร็จแล้วเดินออกมาจากด้านในคลีนิค โดยมีตำรวจนายหนึ่งนั่งรออยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์รับยาของคลินิก
“หมวดครับ ตอนที่หมวดทำแผลอยู่ มีคนโทรเข้ามือถือหมวด ผมเลยบอกว่าหมวดอยู่ที่คลินิก เดี๋ยวเค้าจะมาหานะครับ” ตำรวจนายนั้นบอก
“ใครเหรอ บอกชื่อไว้รึเปล่า” นวัชถาม
“เปล่าครับ แต่เป็นผู้หญิง”
นวัชแอบหวังว่าจะเป็นเจติยาแต่ยังไม่ทันไร นิษฐาก็เดินเข้าคลินิกมาด้วยความห่วงใยนวัช
นิษฐาเป็นห่วงนวัช “พี่หมวด เป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”
นวัชหน้าจ๋อยทันทีเพราะผิดหวังที่เป็นนิษฐาไม่ใช่เจติยาอย่างที่เขาหวังไว้ นวัชฝืนยิ้มให้นิษฐา

นวัชถือถุงใส่ยาเดินกลับเข้ามาในบ้าน โดยมีนิษฐาเดินตามหลังมา
นิษฐาห่วง “คุณหมอจ่ายยาแก้ปวดมาให้ด้วยรึเปล่าคะ”
“รู้สึกว่าจะมีนะครับ น้ำส้มมั้ย”
“อะไรก็ได้ค่ะ”
นวัชเดินไปรินน้ำส้มที่ตู้เย็น
นิษฐาเดินตามถาม
“พี่หมวดยังปวดแผลอยู่รึเปล่าคะ”
นวัชรินน้ำส้มใส่แก้วพร้อมพูดไปด้วย “ปวดตุบๆนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับต้องกินยาหรอก พี่ไม่ชอบกินยา”
นิษฐาเป็นห่วง “แต่ฐาว่าควรจะทานยาตามที่หมอสั่งนะคะ ถึงจะไม่ใช่แผลใหญ่ แต่ถ้าเราไม่ดูแลให้ดี มันก็อาจจะลุกลามได้นะคะ”
นวัชรำคาญ “พี่ไม่ใช่เด็กๆแล้วน่า ดูแลตัวเองได้” นวัชส่งแก้วน้ำส้มให้แล้วเดินเลี่ยงไป
นิษฐารับแก้วน้ำส้มไว้ด้วยสีหน้าน้อยใจ “วันนี้ดูพี่หมวดอารมณ์เสียจังเลยนะคะตั้งแต่เห็นฐาที่คลินิกแล้ว”
“พี่หัวแตก ใครจะอารมณ์ดีอยู่ได้ล่ะ”
นิษฐาแอบแขวะ เธอน้อยใจจนน้ำตาคลอ “ถ้าเป็นเจไปที่คลินิก พี่หมวดคงอารมณ์ดีขึ้นเยอะ”
นวัชรู้สึกว่านิษฐาพูดแทงใจดำ “ฐาจะพูดให้ได้อะไรขึ้นมา เจเค้าพูดชัดเจนขนาดนั้นแล้ว ฐาก็ได้ยินกับหู พี่จะเป็นจะตายยังไง เจเค้าก็ไม่มาสนใจใยดีพี่หรอก”
นิษฐาสวนไปทันที “แต่ฐาสน”
นวัชจ้องหน้านิษฐา นิษฐาน้ำตาร่วงผลอยออกมาทันที นวัชอึ้งไป
นิษฐารีบปาดน้ำตาออกแล้วยัดแก้วน้ำส้มใส่มือนวัชคืน เธอเสียใจปนอายจึงรีบเดินก้มหน้าก้มตาออกไปจากบ้านนวัช นวัชมองตามนิษฐาไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพาลเกินไปเหมือนกัน เขาได้แต่ถอนหายใจยาวออกมา

เจติยาเดินสะพายเป้เข้ามาในห้องแต่งศพตอนกลางดึก พอเดินเข้ามา เจติยาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นลาภิณกำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้อง
ลาภิณยืนคุยมือถือ “บอกเค้านะว่าไม่ต้องห่วง โปรเจ็คทุกอย่างจะเดินหน้าไปเหมือนเดิม ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้เอง” ลาภิณฟัง “โอ.เค. ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันจะติดต่อกลับไปอีกที” ลาภิณกดวางสาย
ลาภิณวางโทรศัพท์มือถือลงที่โต๊ะข้างๆ แล้วยิ้มให้เจติยา
“เพิ่งจะหายป่วย น่าจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านมากกว่ามาโหมงานทันทีนะคะ” เจติยาบอก
ลาภิณยิ้มบางๆ “มีหลายอย่างที่ฉันต้องรีบเข้ามาแก้ ก่อนจะสายเกินไป”
เจติยายิ้มรับ “แล้วนี่มีงานอะไรด่วนรึเปล่าคะ คุณถึงได้เข้ามารอถึงในห้อง”
ลาภิณยิ้ม “ฉันก็จะมาขอบคุณเธอน่ะสิ เธอเป็นคนช่วยชีวิตฉันไว้ แต่ฉันยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเธอเลย”
เจติยายิ้มแย้ม
ลาภิณตัดพ้อ “ตอนฉันไม่รู้สึกตัว เธอไปเยี่ยมฉันได้ทุกวัน แต่พอฉันหาย เธอกลับไม่ไปให้เห็นซะนี่”

“อ้าว ก็คุณหายแล้วจะให้ฉันไปเยี่ยมอีกทำไมล่ะคะ วันๆมีคนไปเยี่ยมคุณเยอะแยะเต็มห้อง ฉันไปก็เกะกะเปล่าๆ” เจติยาเดินไปเก็บของที่โต๊ะทำงาน
ลาภิณมองตาม “เธอรู้เรื่องที่ฉันปลดน้าพิสัยออกรึยัง”
“ทอล์คออฟเดอะทาวน์ซะขนาดนี้ ขนาดฉันอยู่บ้าน ยังมีคนโทรไปเล่าให้ฟังเลยค่ะ” เจติยาถามหน้าเครียด “เอ่อ คุณปลดคุณพิสัย เพราะเรื่องฉันรึเปล่าคะ”
ลาภิณหน้าขรึมลง “ก็ส่วนนึง แต่รู้อะไรมั้ย ช่วงเวลาเฉียดตาย ที่วิญญาณฉันออกจากร่างมันก็มีข้อดีนะ อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ในเรื่องที่ฉันไม่มีวันจะได้รู้”
เจติยาหันมองลาภิณด้วยสีหน้าสงสัยว่าเขารู้เรื่องอะไรมา
ลาภิณหน้าขรึมลง “มันเจ็บมากนะที่ได้รู้ว่าคนที่เรารักและไว้ใจมาก กำลังคิดคบกับคนอื่นหักหลังเราอยู่”
เจติยาสงสัย “หมายถึงใครคะ”
ลาภิณถอนใจ “ช่างเถอะ อย่าพูดถึงมันอีกเลย” ลาภิณตัดบท “ฉันไม่รบกวนเวลางานเธอแล้ว ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะเจ” ลาภิณมองหน้าเจติยาด้วยสีหน้าแววตาซึ้งใจ “เธอไม่ใช่แค่มีบุญคุณกับฉัน แต่ตอนนี้เธอยังเป็นทั้งเพื่อน และคนที่ฉันไว้ใจมากที่สุดอีกด้วย”
ทั้งคู่สบตากันนิ่งๆ
ลาภิณเอ่ยออกมา “ขอบคุณมากนะ”
เจติยาเขิน “ตั้งแต่เข้ามานี่คุณขอบคุณฉันเกิน 5 ครั้งแล้วมั้งคะ”
ลาภิณยิ้มๆ “เกินไป”
เจติยากระเซ้า “แล้วก็อย่านึกสนุกออกจากร่างอีกแล้วกัน ฉันไม่อยากมี 2 เงา”
ลาภิณขำ “ไม่ดีเหรอ ไม่เหงาดีออก”
“สยองมากกว่าค่ะ”
ลาภิณยิ้มๆ “ทำงานเธอต่อเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว” ลาภิณเดินออกจากห้องไป
เจติยามองตามลาภิณไปก่อนจะไปหยิบสมุดส่งงานมาอ่านดูว่าลุงทวีจะมอบหมายงานอะไรให้เธอทำต่อบ้าง แล้วเจติยาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของลาภิณวางทิ้งไว้บนโต๊ะ
“อ้าว” เจติยารีบไปหยิบมือถือแล้วตามไปคืนให้ลาภิณ

พนักงานทำความสะอาดคนหนึ่งที่สวมหมวกปิดบังใบหน้ากำลังทำความสะอาดพื้นอยู่ ลาภิณเดินผ่านมา แบบไม่ได้สนใจอะไร พนักงานคนนั้นซึ่งก็คือเชิดปลอมตัวมาเหล่มองลาภิณตลอดเวลา พอลาภิณเดินผ่านไป เชิดก็ชักปืนออกมาหมายจะยิงเข้าที่หัวลาภิณจากทางด้านหลัง เจติยาเดินตามลาภิณออกมา เพื่อจะเอาโทรศัพท์มาคืนเรียกลาภิณไว้
“คุณลาภิณคะ...”
เจติยาตกใจสุดขีดที่เห็นเชิดถือปืนจะยิงลาภิณ ในขณะที่เชิดก็ตกใจเช่นกันเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาเห็นเข้า จังหวะเดียวกันนั้นลาภิณได้ยินเสียงเจติยาเลยหันกลับมาทำให้เห็นเชิดกำลังจะยิงตน เชิดตั้งสติได้จึงหันไปมองลาภิณแล้วจะเหนี่ยวไก แต่ลาภิณไวกว่าจึงโผเข้าแย่งปืนของเชิดเพื่อไม่ให้ยิงได้ถนัด
ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงเพื่อแย่งปืนกันจนหมวกของเชิดหลุดทำให้เห็นหน้าเชิดชัดเจน เจติยาเห็นท่าไม่ดี เลยรีบไปกดสัญญาณเตือนภัยไฟไหม้จนเกิดเสียงกริ่งดังไปทั่วตึก เชิดตกใจทำให้เสียจังหวะ ลาภิณบิดมือเชิดจนปืนหลุดก่อนจะต่อยซ้ำที่หน้าเชิดไปเต็มหมัด ลาภิณรีบไปหยิบปืนมา แต่เชิดเตะข้อมือลาภิณจนปืนหลุดกระเด็นไปไกล
เชิดเตะลาภิณจนผงะหงายไป แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปซ้ำเพราะเสียงกริ่งยังดังไม่หยุด เชิดฉวยโอกาสวิ่งหนีไปทันที ลาภิณจะวิ่งตาม แต่เจติยารีบเข้าไปห้ามไว้
เจติยาห้ามด้วยความเป็นห่วง “อย่าตามค่ะ เรามีกล้องวงจรปิด ให้ตำรวจเป็นคนจัดการต่อเถอะค่ะ”
ลาภิณเชื่อเจติยาจึงไม่ตามไป แต่ก็มองตามเชิดไปด้วยความเจ็บใจ

ตำรวจสเก็ตใบหน้าของเชิด เจติยาและลาภิณกำลังดูภาพเหมือนเชิดอยู่ที่สถานีตำรวจโดยมีนวัชอยู่ใกล้ๆ
นวัชแอบเหล่เจติยาเรื่อยๆ ด้วย่ทาทางจ๋อยๆ ซึมๆ ลาภิณและเจติยาดูรูปแล้วก็หันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าให้กันแล้วหันไปพูดกับนวัช
“เหมือนค่ะพี่หมวด คนนี้ล่ะค่ะ” เจติยาบอก
นวัชรีบหลบสายตาไปมองทางลาภิณแทน “เรามีทั้งภาพสเก็ต อาวุธปืนที่มีลายนิ้วมือคนร้าย แล้วยังภาพจากกล้องวงจรปิดอีก อย่างงี้ ผมมั่นใจว่าคงจับตัวคนร้ายได้ไม่ยากหรอกครับ” นวัชยิ้มให้ลาภิณโดยไม่สบตามองเจติยาเลย
“งั้นก็ฝากด้วยนะครับหมวด” ลาภิณบอก
“ไม่ต้องห่วงครับ”
เจติยาหันไปพูดกับลาภิณ “ถ้าเป็นคนเดียวกับที่ยิงคุณคราวที่แล้วก็ดีสิคะ งานนี้จะได้สาวให้ถึงต้นตอไปเลย”
นวัชแอบเหล่มองเจติยาเล็กน้อย
ลาภิณพูดด้วยสีหน้าเจ็บใจ “ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าฝีมือใคร”
นวัชมีสีหน้าซึมๆไป
นวัชเอ่ยลาเพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตา “งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
นวัชลุกขึ้นแล้วเดินเลี่ยงไปแบบซึมๆ
ลาภิณมองตามนวัชด้วยความแปลกใจ “วันนี้หมวดเค้าเป็นอะไร ท่าทางซึมๆ ไม่เหมือนปกติ”
เจติยายิ้มแหยๆ เพราะรู้ว่านวัชซึมเพราะอกหัก เธอรีบตัดบท “คงทำงานหนักมั้งคะ ไม่มีอะไรแล้ว เราแยกย้ายกันดีกว่า”
“เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย เธอไปทานเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” ลาภิณบอก
“ทานง่ายๆ แถวนี้แล้วกัน ฉันต้องรีบกลับไปทำงานต่อ”
“ได้ทั้งนั้นล่ะ ฉันไม่อยากทานคนเดียว”
“ก็โทรตามแฟนคุณมาทานด้วยสิคะ” เจติยาลุกขึ้น
ลาภิณลุกตามพร้อมพูด “ผมกับปริมเลิกกันแล้ว”
เจติยาอึ้งไปเพราะนึกไม่ถึง

“คุณแม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผม”ลาภิณพูดต่อ
เจติยาอึ้งๆ เพราะพูดไม่ออก
“ต่อไปนี้คุณไม่ไหนมาไหนกับผม ไม่ต้องกลัวปริมจะมาอาละวาดแล้วล่ะ” ลาภิณยิ้มให้
เจติยายังงงๆ “แล้วทำไมฉันต้องไปไหนมาไหนกับคุณด้วยล่ะ” เจติยารีบเดินก้มหน้างุด หนีออกไปก่อนเลย
ลาภิณอมยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วเดินตามเจติยาออกไป นวัชที่แอบมองอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงพักยิ่งซึมเศร้าหนักขึ้นไปอีก

พิสัยกำลังอาละวาดใส่ปองและย้งที่ห้องในคอนโด
พิสัยโมโหมาก ไครั้งแรกก็ยิงมันไม่ตาย ให้แก้ตัวก็ยังพลาด แล้วยังหน้าด้านมาขอเงินค่าจ้างฉันอีกเหรอ”
ย้งจ๋อย “แต่ไอ้เชิดมันจำเป็นต้องใช้เงินในการหลบหนีนะครับ คุณพิสัย เมตตามันซักครั้งเถอะครับ”
พิสัยตะคอก “รู้มั้ยว่าไอ้ต้นมันแอบติดกล้องวงจรปิดเพิ่มตั้งกี่จุดคราวเนี้ยมันสาวถึงตัวฉันแน่” พิสัยมีสีหน้ากังวล
“ไอ้เชิดมันระวังตัวดี ลำพังแค่ภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นหน้าไม่ชัดหรอกครับ” ปองบอก
“ถ้าคุณพิสัยยังไม่สบายใจก็น่าจะให้เงินไอ้เชิดมันซักก้อน มันจะได้หนีออกนอกประเทศไปซะ คุณจะได้ไม่ต้องกังวลใจอีก”
พิสัยมีสายตาที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม “มีแต่มันต้องตายเท่านั้นล่ะฉันถึงจะหมดกังวลได้จริงๆ”
ย้งชะงักไปแล้วก็หน้าซีดด้วยความหวาดกลัวเพราะห่วงเชิดว่าจะถูกพิสัยเก็บ

ย้งเดินหน้าเครียดมาพร้อมกับปอง
ย้งเครียด “ข้ากลัวว่าคุณพิสัยจะปิดปากไอ้เชิดว่ะ”
“ไม่หรอก ถึงคุณพิสัยจะร้ายกาจแค่ไหน แต่เราก็รับใช้เค้ามานาน คงไม่ทำกันหรอกวะ แค่ขู่เท่านั้นแหละ” ปองว่า
ย้งเครียด “มันก็ไม่แน่หรอกไอ้ปอง ถ้าคุณพิสัยจริงใจทำไมไม่ให้เงินไอ้เชิดมันหนีไปล่ะ”
“ก็ไอ้เชิดมันขอเป็นล้าน มันก็ต้องนานหน่อยสิวะ”
“เงินแค่เนี้ย ขนหน้าแข้งคุณพิสัยไม่ร่วงหรอก ข้าว่าเตะถ่วงมากกว่า เอ็งคิดดูนะไอ้ปอง พวกเรารู้ความลับคุณพิสัยมากที่สุด ถ้าปิดปากไอ้เชิดแล้ว คิวต่อไปก็เอ็งกับข้านี่แหละ”
ปองชักเครียดตามแต่ก็ยังเชื่อว่าพิสัยไม่ทำอยู่ดี “เฮ้ย เอ็งคิดมากไปแล้วไปๆ กินเหล้าดีกว่า”
ปองลากย้งเข้าลิฟท์ไปแต่ย้งยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี

เช้าวันใหม่ ลาภิณเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน แล้วเขาก็ชะงักไปเมื่อเห็นพิสัยนั่งคุยกับชูจิตอยู่ที่โซฟารับแขก
ลาภิณไม่พอใจรีบปรี่เข้าไปไล่ “คุณมาที่นี่อีกทำไม เชิญกลับไปได้แล้ว บ้านนี้ไม่ต้อนรับคุณ”
ชูจิตอึดอัดใจเพราะคนนี้ก็ลูกคนนั้นก็น้อง
พิสัยพยายามระงับอารมณ์ “คุณต้นครับ คุณอาจจะไล่ผมออกจากนิราลัยได้ แต่ไล่ผมออกจากความเป็นน้องชายของพี่จิตไม่ได้หรอกนะครับ”
ชูจิตพยายามไกล่เกลี่ย “ใจเย็นๆก่อนนะต้น น้าเค้าแค่แวะมาเยี่ยมแม่เฉยๆ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ” ชูจิตตัดบท “เอ่อ แล้วทางตำรวจเค้าว่ายังไงบ้างล่ะ”
“ก็ใกล้จะได้ตัวคนร้ายแล้วล่ะครับ เดี๋ยวคงได้รู้กัน” ลาภิณมองหน้าพิสัย “ว่าใครที่มันตามจองล้างจองผลาญผมไม่เลิก”
พิสัยหน้าเครียด แล้วหันไปพูดกับชูจิต “ผมกลับก่อนนะครับพี่จิต อยู่นานไปเดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นมาก็จะโทษผมอีก คนอย่างผมมันเลว ถึงพยายามจะทำดีแค่ไหน ก็ไม่มีใครเค้าให้โอกาสหรอกครับ”
ชูจิตนิ่งไปเพราะลึกๆ ก็แอบใจอ่อนเพราะรักน้อง พิสัยไหว้ลาชูจิตก่อนจะเดินออกไปจากโถงบ้านพร้อมตีหน้าซึมเศร้า
“คุณแม่อย่าเผลอใจอ่อนอีกนะครับ” ลาภิณบอก
ชูจิตสงสารน้องจึงถอนหายใจ “ต้นจ๊ะ ถึงพิสัยเค้าจะทำไม่ดีมามาก แต่ไอ้เรื่องที่จะถึงขั้นยิงต้น แม่ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก น่าจะเป็นพวกที่เสียผลประโยชน์มากกว่า”
“แล้วใครที่เสียผลประโยชน์ที่สุดตอนนี้ล่ะครับ ถ้าไม่ใช่น้าพิสัย”
ชูจิตจ๋อยไป
“คุณแม่รับปากผมแล้วนะครับ ว่าจะให้ผมจัดการทั้งเรื่องน้าพิสัย แล้วก็เรื่องปริมเอง”
ชูจิตหน้าจ๋อย “จ้ะ ก็สุดแล้วแต่ต้น แม่ไม่ยุ่งด้วยก็ได้”
ชูจิตลุกขึ้นแล้วเดินเลี่ยงไปด้วยสีหน้าเครียดๆ เพราะไม่สบายใจ
ลาภิณมองตามพิสัยไปด้วยสายตาเกลียดชังเหมือนกำลังมองศัตรู เป็นสายตาที่ต่างจากที่แล้วมาเพราะที่ผ่านมายังมีความเกรงใจที่พิสัยเป็นญาติอยู่บ้าง

โรงพักในตอนเช้าคนยังไม่พลุกพล่านมากนัก นวัชเดินออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าซีดเซียวเพราะไข้ขึ้น เขามองหาที่นั่งพัก ตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาหานวัช
“หมวดครับ รู้ตัวคนที่ดักยิงคุณลาภิณแล้วครับ” ตำรวจเอะใจ “หมวดเป็นอะไรรึเปล่าครับ หน้าซีดๆ”
นวัชอ่อนเพลียแต่ก็ไม่ตอบ เขาลุกขึ้นยืน “ตกลงมันเป็นใคร”
“มันชื่อไอ้เชิดครับ สมญาเชิดร้อยศพ เป็นมือปืนระดับหัวแถวบ้านเดิมมันอยู่ที่...”
ตำรวจยังพูดไม่จบ นวัชก็เซจะล้มเพราะไข้ขึ้นสูงจนเวียนหัว เขาต้องหาที่จับเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลง
ตำรวจตกใจรีบเข้าไปประคองนวัช “หมวดครับ” ตำรวจประคองให้นวัชนั่งลง
นวัชหน้าซีดเพราะไข้ขึ้น เขามึนหัวจนพูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่หลับตานั่งพัก

นวัชนอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟารับแขก เขาขยับตัวพลิกจนรู้สึกตัวตื่น นวัชขยับขึ้นมานั่งอย่างงงๆ ว่าตนมาอยู่ที่บ้านได้ยังไง เขาได้ยินเสียงดังมาจากในครัวจึงลุกเดินไปดู นวัชเห็นนิษฐากำลังยืนหันหลังทำข้าวต้มหมูสับอยู่หน้าเตา เขาอึ้งไปเล็กน้อย นิษฐาปิดเตาแล้วหันมาหยิบชามจึงเห็นนวัช
“อ้าวพี่หมวด ค่อยยังชั่วรึยังคะ”
“เธอมาได้ยังไง” นวัชมีสีหน้าสงสัย
“พอดีฐามาบ้านเจ เห็นคุณจ่า...”
นวัชถามสวนไปทันทีด้วยท่าทางอยากรู้ “แล้วเจล่ะ มาด้วยรึเปล่า”
นิษฐาอึ้งปนจ๋อยไปเล็กน้อย
เจติยายกมือไหว้ลาตำรวจที่พานวัชมาส่งที่หน้าบ้าน
“ขอบคุณมากนะคะที่พาหมวดมาส่ง”
“โชคดีวันนี้แฟนมารับพอดี มีรถมาส่งไม่งั้นคงแย่เหมือนกันมอเตอร์ไซค์ของหมวด ผมจอดให้อย่างดีที่โรงพัก บอกหมวดไม่ต้องห่วงนะครับ”
เจติยายิ้มแย้ม “ค่ะ”
ตำรวจมีสีหน้าเป็นห่วง “หมวดแกเป็นอะไรไม่รู้นะครับ ทำงานไม่พักไม่ผ่อน ไม่ใช่เวรก็จะอยู่เป็นเพื่อน บอกกลับบ้านแล้วเหงา”
เจติยาจ๋อยไปเพราะรู้ว่าตนเป็นต้นเหตุ
“ร่างกายคนไม่ใช่เครื่องจักร ถึงได้วูบไปไงครับ”
เจติยาฝืนยิ้มบางๆ “ค่ะ”

นิษฐายกถาดใส่ชามข้าวต้มหมูมาตั้งที่โต๊ะอาหารที่มีจานแบ่งพร้อมช้อน 3 ชุดวางอยู่ นวัชเดินตามมา
“พี่หมวดทานก่อนเถอะค่ะ” นิษฐาตักข้าวต้มใส่จานแบ่งให้นวัช
นวัชชะเง้อมองไปหน้าบ้าน
นิษฐาหมั่นไส้ “ไม่มีอาหารรองท้อง เดี๋ยววูบเป็นลมขึ้นมาอีก จะไม่ได้เห็นหน้าเจ”
นวัชชะงักหันมามองหน้านิษฐา
“จะกินเองหรือรอเจเข้ามาป้อนก็ตามใจนะคะ” นิษฐาน้อยใจ
“อย่ามาพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้หน่อยเลยน่ะ”
นิษฐาเหยียดปากใส่แล้วจะเดินไป
นวัชเรียกเอาไว้ “มานั่งทานด้วยกันสิ”
นิษฐาชะงักไป
“เร็ว จะได้ท้องเสียด้วยกัน” นวัชตักข้าวต้มแบ่งใส่จานใหม่ให้นิษฐา
“น้อยๆ หน่อย ป่วยเดี้ยงขนาดนี้ยังปากเก่ง” นิษฐาเดินมานั่งด้วย
นวัชหยิบช้อนใส่ชามให้นิษฐา “ปรุงเอาเอง”
นิษฐาเชิด “อร่อยขนาดนี้ต้องปรุงอะไรอีก” นิษฐาตักข้าวต้มกิน
นวัชยิ้มๆ แล้วกินข้าวต้มไป เจติยาแอบมองอยู่ที่หน้าประตู เธอมีสีหน้าใช้ความคิดก่อนจะยิ้มออกมาแล้วตัดสินใจถอยฉากกลับออกไป

เจติยาตัดสินใจเปิดประตูรั้วหน้าบ้านนวัชแล้วย่องออกมาเบาๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงบีบแตรรถยนต์ดังมาจากด้านหลังจนเจติยาตกใจสะดุ้งหันไปมอง เธอเห็นลาภิณจอดรถเทียบที่หน้าบ้านนวัชแล้วส่งยิ้มมาให้เธอจากในรถ เจติยาทั้งอึ้งทั้งงงว่าลาภิณมาทำไม

นวัชและนิษฐามองไปทางหน้าบ้านหลังจากได้ยินเสียงแตรรถ
นวัชงง “ใครมา”
“ฐาไปดูให้ค่ะ”
นิษฐาลุกเดินออกไปดู นวัชมองตามด้วยสีหน้าติดใจสงสัย

ลาภิณลงจากรถมาหาเจติยาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เจติยาแปลกใจ “มาทำอะไรคะ”
ลาภิณยิ้มแบบใจดีสู้เสือ “พอดีผมมาธุระแถวนี้ก็เลยแวะมาหา”
เจติยาอึ้งๆ และมีสีหน้าระแวง “มาหาฉันทำไม”
ลาภิณยิ้ม “ไม่ต้องกลัวฉันมาจีบหรอกน่ะ”
เจติยาค้อนตาเขียว
ลาภิณมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ฉันอยากเห็นกล่องรากบุญ”
เจติยาอึ้งไปเล็กน้อย
“เธอเอามาให้ฉันดูได้มั้ย ฉันอยากเห็นกล่องที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้”
เจติยามีสีหน้าท่าทางอ่อนลง

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 30 พ.ย. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager