@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 28 พ.ย. 55

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 28 พ.ย. 55

เจติยาปราม “เพ้อเจ้อ พี่หมวดกับฉันเหมือนเป็นพี่น้องกัน ส่วนคุณพิสัยเค้ามาคุยธุระ”
นทีขำๆ ก่อนจะลุกขึ้นมาต้อน “แสดงว่าสนคุณลาภิณกว่าเพื่อนล่ะสิ”
เจติยาอึ้งแล้วรีบดุน้องชาย “อย่าไปพูดพล่อยๆ ที่ไหนนะนที เค้ามีแฟนแล้ว แล้วเค้าก็ไม่เคยจีบพี่ด้วย”
นทียิ้มกวน “แปลว่าถ้าไม่มีแฟน แล้วเค้าจีบ ก็โอใช่ม๊ะ” นทีวิ่งออกไปจากห้องทันที
เจติยาโมโหที่โดนต้อน “ไอ้น้องคนนี้นี่” เจติยาฉุกคิดก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงาน เธอเปิดกระเป๋าสตางค์ดู ก็พบว่าเงินหายไปร้อยนึง
เจติยามีสีหน้าเจ็บใจแล้วรีบตามนทีออกไป “นที เอาเงินพี่คืนมานะ” เจติยาเดินออกไปจากห้องทันที

เจติยามานั่งดักรอชูจิตอยู่ที่หน้าห้องทำงานตอนสายวันใหม่ เลขาเดินถือของของชูจิตมาก่อน แล้วตามด้วยชูจิต เจติยาลุกขึ้นยกมือไหว้ชูจิต
ชูจิตสั่งเลขา “เอาของเข้าไปเก็บในห้องแล้วเตรียมเอกสารที่ต้องไปพบลูกค้าให้ฉันเลย”
“ค่ะคุณท่าน” เลขาเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องทำงานชูจิต



“มาดักรอฉันมีเรื่องอะไร” ชูจิตถามเจติยา
“คุณท่านเห็นข่าวที่เขียนแซวหนูกับคุณลาภิณ เรื่องที่ไปกับคุณท่านเมื่อวานรึยังคะ” เจติยาถาม
ชูจิตยิ้ม “เห็นแล้ว ก็น่ารักดี ไม่เห็นมีอะไร อย่าคิดมากไปเลยน่า”
“จะไม่ให้คิดมากได้ยังไงคะ” เจติยาหน้าเครียด “ท่านก็ทราบว่าคุณปริมไม่พอใจหนูเรื่องคุณลาภิณมานานแล้ว หนูไม่อยากมีปัญหากับเธออีก”
“ฉันเข้าใจ แต่ฉันก็อยากให้เธออดทนเอาไว้”
เจติยาแปลกใจ “อดทนเพื่ออะไรคะ”
“เพราะฉันอยากให้เธอทำงานช่วยต้นต่อไปน่ะสิ ตอนนี้เธอเป็นคนที่ฉันไว้ใจมากที่สุดรู้ตัวมั้ย”
เจติยานึกไม่ถึง “หนูเนี่ยนะคะ”
“ใช่ ฉันยอมรับ ว่าเมื่อก่อนฉันอคติกับเธอ แต่ตอนนี้ฉันพอจะมองเธอออกมากขึ้น”
เจติยาได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
“เธอเองก็ทำงานที่นี่มาหลายปี แถมยังมีหุ้นของนิราลัยอีก ฉันเชื่อว่าเธอต้องผูกพันกับที่นี่บ้างล่ะ ถึงเรียนจบ เธอก็คงไม่คิดจะไปทำงานที่อื่นใช่มั้ยล่ะ”
เจติยาอึกๆอักๆ “แต่...”
“คุณสารัชก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน ถึงได้ให้หุ้นกับเธอ แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องทำงานที่นิราลัย” ชูจิตยิ้มสบายใจ “ตอนนี้ฉันเริ่มจะหายข้องใจแล้วล่ะ ว่าทำไมคุณสารัชถึงทำแบบนั้น” ชูจิตมองเจติยาด้วยสายตาเอ็นดู
เจติยายังไม่สบายใจอยู่ดี “แต่คุณปริมเธอคงไม่พอใจมาก”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ขอให้เธอช่วยงานฉันก็พอ” ชูจิตอ้อนวอน “เธอก็เห็นแล้วว่าน้องชายฉันเป็นคนยังไง ถ้าเธอไม่อยู่ช่วยฉันอีกแรง ฉันกับต้นก็คงไม่เหลือใครที่ไว้ใจได้แล้วจริงๆ”
เจติยามีสีหน้าขรึมลง พอชูจิตพูดแบบนี้เธอก็ปฏิเสธไม่ออก ชูจิตแอบยิ้มคล้ายมีแผนเพราะนอกจากจะรั้งเจติยาไว้ช่วยงานแล้ว เธอยังคิดจะใช้เจติยาเป็น
กันชนปริมให้ออกไปจากชีวิตต้นด้วย เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ปริมกระแทกหนังสือพิมพ์แขวนเก็บที่ในห้องรับรองบริษัทนิราลัยอย่างหัวเสีย
ปริมบ่นด้วยความหงุดหงิด “เขียนข่าวบ้าๆ”
พิสัยยืนกอดอกมองอยู่ไม่ห่าง
“ฉันคิดว่าอ่านเกมพี่จิตออก” พิสัยบอก
ปริมเหลือบตามองพิสัยด้วยตาขวางๆ อย่างอารมณ์เสีย
“พี่จิตไม่อยากทำรุนแรงแตกหักกับคุณตรงๆ ก็เลยใช้วิธีดันเด็กนั่นขึ้นมา ถ้าคุณทนไม่ได้ก็ต้องโบกมือลาไปเอง”
ปริมโมโห “ฉันก็ไม่ได้โง่ ทำไมจะอ่านเกมคุณแม่ไม่ออก” ปริมมีสีหน้าหมั่นไส้ปนเจ็บใจเจติยามาก
“ช่วงนี้คุณก็สงบเสงี่ยมไว้หน่อยแล้วกัน ยิ่งเหวี่ยงมากพี่จิตก็ยิ่งระอาคุณมากขึ้น”
ปริมค้อนขวับใส่ด้วยความไม่พอใจแต่ก็รู้ว่าพิสัยพูดถูก ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของพิสัยก็ดังขึ้น
พิสัยดูเบอร์แล้วกดรับ “ฮัลโหล” พิสัยฟัง “ครับ ใช่ครับ มีอะไรรึเปล่าครับ” พิสัยฟังแล้วก็ตกใจจนหน้าเครียดขึ้นมาทันที
ปริมมองพิสัยด้วยสีหน้าอยากรู้เพราะมั่นใจว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ

พิสัยร้อนใจสุดๆ
“ตำรวจเพิ่งโทรหาผม บอกว่าลูกน้องคุณปุ่นให้การว่าคุณปุ่นกำลังตามสืบเรื่องของผมอยู่ ทำให้การตายของคุณปุ่น ผมน่าสงสัยที่สุด” พิสัยบอกอย่างร้อนใจ
ชูจิตพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ตำรวจเค้าก็สันนิษฐานถูกแล้วนี่ เธอมาบอกพี่ทำไม”
พิสัยมายืนคุยกับชูจิตข้างรถบริเวณลานจอดรถ ขณะที่กำลังจะออกไปธุระข้างนอกพอดี
“ผมอยากให้พี่จิตช่วยยืนยันกับตำรวจ ว่าเรื่องที่คุณปุ่นตามสืบไม่เกี่ยว ข้องกับผม ผมจะได้พ้นข้อสงสัยน่ะครับ”
ชูจิตไม่พอใจ “พี่ปกป้องคนผิดมามากพอแล้วนะพิสัย เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ พี่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”
“แต่พี่จิตครับ...”
ชูจิตได้แต่ถอนใจแล้วก็ขึ้นรถไปทันที คนขับรถขับรถออกไป พิสัยมองตามด้วยความเจ็บใจ

ตำรวจยศพันตำรวจเอกกำลังสอบปากคำพิสัยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่สถานีตำรวจ
พิสัยเครียดหนักจึงทำเสียงดังข่ม “ก็ผมไม่รู้จริงๆ จะให้ตอบว่ายังไงล่ะครับ แค่ผมเสียเวลามาให้ปากคำก็ดีเท่าไหร่แล้ว อยากรู้อะไรมากกว่านี้คุยกับทนายผมละกัน”
“ถ้าคุณไม่อยากพูดเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร งั้นเรามาคุยเรื่อง นายปองกับนายย้งแทนดีกว่ามั้ยครับ” นายตำรวจถาม
พิสัยตกใจมากจนหน้าซีดเผือด เขาพยายามข่มอารมณ์และเก็บอาการ “ใครเหรอ ผมไม่รู้จัก”
ตำรวจยิ้มขำ “อะไรกันคุณ ไม่รู้จักพนักงานคนสนิทของตัวเองได้ยังไงครับ”
พิสัยกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ
“สองคนนี้เคยทำงานที่บริษัทนิราลัย หลังจากนั้นก็มาทำงานที่โรงไม้ของคุณ แล้วที่สำคัญ วันที่สำนักงานทนายความปุ่นไฟไหม้ ก็มีพยานเห็นสองคนนี่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนั้นด้วยขนาดนี้แล้วคุณยังจะ...”
พิสัยกำลังถูกต้อนจนหน้าซีดก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูก แต่แล้วจู่ๆตำรวจนายนั้นก็ชะงักค้างตาลอย ตัวแข็งเหมือนหุ่นและไม่พูดไม่จา พิสัยเอะใจจึงเอามือไปโบกเบื้องหน้าตำรวจแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร สักพักปราณก็เดินเข้ามาหาพิสัย
ปราณยิ้มบางๆ “ดูเหมือนว่าฉันจะมาทันเวลาพอดี”
พิสัยสะดุ้งตกใจ “แกเข้ามาได้ยังไง”
“ฉันไปไหนได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่จะช่วยแกให้พ้นจากคดีนี้ก็ยังทำได้”
พิสัยชักสนใจ “แกจะทำยังไง”
ปราณมองไปที่ตำรวจแล้วสั่งไปที่จิตใต้สำนึกของตำรวจ “ทำลายหลักฐานทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับพิสัยให้หมด แล้วจำไว้ ว่าพิสัยไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้”
ตำรวจนายนั้นพูดช้าๆ เพราะโดนสะกดจิต “พิสัยไม่เกี่ยวข้อง”
พิสัยตะลึง “ง่ายอย่างงี้เลยเหรอ”
“ง่ายสำหรับฉันคนเดียว” ปราณจ้องหน้าพิสัย “อย่าลืมจ่ายค่าตอบแทนให้ฉันด้วยล่ะ”
“ไอ้เรื่องกล่องนั่นใช่มั้ย ฉันก็พยายามอยู่ แต่ยัยนั่นก็ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องใช้เวลาหน่อย”
ปราณมีสีหน้าหนักใจ “ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องทำ ก่อนที่เจติยาจะได้ดาวทุกข์ครบสามดวง แล้วขอพรให้กล่องรากบุญถูกทำลาย” ปราณมีสีหน้าเจ็บใจมาก
พิสัยแปลกใจ “แกจะให้ฉันทำอะไร”
ใบหน้าของปราณเต็มไปด้วยความอำมหิต พิสัยมีสีหน้าสงสัย

เจติยาเพิ่งออกเวร เธอกำลังเดินคุยโทรศัพท์มือถือมาที่หน้าบริษัทนิราลัย
“ฉันเลิกงานแล้วกำลังจะเดินไป แกมาจอดรถรอได้เลย” เจติยาฟังอีกฝ่ายแล้วก็แปลกใจ “พี่หมวดมาด้วยเหรอ มาได้ไงล่ะ” เจติยาฟังอีกฝ่าย
ทันใดนั้นป้อมที่ยืนรออยู่ที่หน้าบริษัทก็เดินกะเผลกเข้ามาหาเจติยา
“น้องเจคะ”
“แค่นี้ก่อนนะฐา เดี๋ยวเจอกัน” เจติยากดวางสาย ก่อนจะหันไปคุยกับป้อม “มีอะไรเหรอคะพี่ป้อม”
“พี่มีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากน้องเจหน่อยน่ะค่ะ น้องเจไปกับพี่แป๊บนึงได้มั้ยคะ”
“เดี๋ยวนี้เลยเหรอคะ”
“ค่ะ”
“เจนัดเพื่อนไว้ต้องรีบไปนะคะ”
“แป๊บเดียวจริงๆค่ะ” ป้อมชี้นำไป “เดินไปที่ท้ายซอยนี่เอง ไม่ไกลหรอกค่ะ”
เจติยามองๆหาแต่ก็ยังไม่เห็นรถนิษฐา “ก็ได้ค่ะ”
ป้อมเดินกะเผลกนำเจติยาไป เจติยาเดินตามไปติดๆ
นิษฐาขับรถพานวัชเข้าซอยมาแต่อยู่ห่างออกไปพอสมควร
นิษฐาเห็นเจติยา “เจอยู่นั่นไง”
นวัชที่อยู่ในชุดนอกเครื่องแบบเพ่งมองตามไป
นิษฐาสงสัย “จะไปไหนของเค้านะ”
“ขับตามไปดูสิ” นวัชบอก
นิษฐาทำหน้าบึ้งตึงเพราะแอบหวง “ทำไมต้องตามด้วยคะ ก็นัดเจอกันที่หน้าบริษัท เจคงไปทำธุระ เดี๋ยวก็มา”
นิษฐาจอดรถรอที่หน้าบริษัทด้วยสีหน้างอนๆ แบบเอาแต่ใจ แต่นวัชกลับมีเซนส์บางอย่างจึงรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
“งั้นพี่เดินตามไปดูเองก็ได้”
นวัชจะลงจากรถ
นิษฐาหมั่นไส้ “ไม่ต้องลงหรอกค่ะ ขับตามไปก็ได้”
นิษฐาสตาร์ทเครื่องรถด้วยใบหน้าหงิกงอ
นิษฐาบ่นพึมพำ “จะห่วงอะไรนักหนา น่ารำคาญ”
นิษฐาขับรถไปทางท้ายซอยด้วยสีหน้าเซ็งๆ นวัชชะเง้อมองตามเจติยาไปอย่างจับตา
นิษฐาเหล่มองแล้วบ่นพึมพำ “เค้าไม่ได้ชอบตัว ดูไม่ออกอีกเหรอะ ซื่อบื้อ” นิษฐาค้อนขวับ

ป้อมเดินกะเผลกนำเจติยามาถึงพงหญ้าท้ายซอย
เจติยาเริ่มแปลกใจ “พี่ป้อมจะพาเจไปไหนคะเนี่ย”
ป้อมไม่ตอบแต่ยังคงเดินกะเผลกนำต่อไป
เจติยางง “แล้วตกลงจะให้เจช่วยอะไรกันแน่คะ”
ป้อมหันมายิ้มบางๆให้เจติยา “ถึงแล้วล่ะค่ะ” ป้อมชี้ไปที่พงหญ้า “น้องเจดูก่อนสิคะ แล้วพี่จะบอกเอง ว่าจะขอให้น้องเจช่วยอะไร”
เจติยามองไปที่พงหญ้าแล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเพราะเธอเห็นศพของป้อมที่ถูกตีจนเลือดโชกเต็มหัว ตาเบิกโพลง นอนตายอยู่ในพงหญ้าอย่างน่าสยดสยอง
เจติยาหันกลับไปมองป้อมก็เห็นวิญญาณป้อมอยู่ในชุดเดียวกับที่ตาย มีเลือดโชกเต็มหัวเพราะถูกตี
จนดูน่าหวาดกลัว เจติยาผงะแล้วร้องออกมาด้วยความตกใจ
“บอกความจริง” ป้อมพูด
เจติยายืนช็อก ทันใดนั้นนิษฐาก็ขับรถมาถึง นิษฐาและนวัช ลงจากรถแล้วเดินเข้ามาหาเจติยา
นวัชยิ้มทักทาย “มาทำอะไรเจ”
เจติยานึกไม่ถึง “ฐา พี่หมวด”
“เป็นอะไรไปยะ ทำหน้ายังกะเห็นผี” นิษฐาหันไปเห็นศพป้อมในพงหญ้าแล้วก็กรี๊ดสุดเสียงด้วยความหวาดกลัวก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนวัช
นวัชเองก็ตกใจที่มาเจอศพคนตายโดยไม่คาดหมายแบบนี้ เจติยาหน้าเครียด เธอหันไปมองวิญญาณของป้อมที่มองเธออยู่ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ใบหน้าของป้อมซีดเผือดไร้สีเลือดเหมือนศพคนตายไม่มีผิด

ลาภิณกำลังกดกริ่งหน้าห้องพักคอนโดของปริมอยู่ เขายืนรอสักพักแต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบออกมา ลาภิณหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาปริมแต่กลับได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของปริม ดังออกมาจากในห้องพัก ลาภิณแปลกใจเลยหยิบคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าห้องของปริมไป
ลาภิณเห็นปริมนั่งซึมอยู่ที่โซฟาปล่อยให้โทรศัพท์มือถือดัง โดยไม่ยอมรับสาย ลาภิณตกใจปนห่วงจึงกดตัดสายแล้วเดินเข้าไปหาปริม
“เป็นอะไรปริม”
ปริมสวมกอดลาภิณไว้แล้วเอาแต่ร้องไห้
ลาภิณตกใจ “เล่าให้ผมฟังซิครับ เกิดอะไรขึ้น”
ปริมน้ำตาคลอเพราะกดดันทั้งเรื่องชูจิต เรื่องพิสัย “เรายังเป็นแฟนกันอยู่รึเปล่าคะคุณต้น”
ลาภิณผละปริมออกมาแล้วมองหน้าเธอ “ทำไมถามผมแบบนี้ล่ะปริม”

ปริมพูดทั้งน้ำตาคลอ “นับวันคุณกับปริมยิ่งห่างกันมากขึ้นทุกที คุณแม่ที่เคยเอ็นดูปริม ก็เห็นคนอื่นดีกว่าไปแล้ว” ปริมน้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ลาภิณยกมือขึ้นซับน้ำตาให้ “ไม่เอาน่าปริม ทุกอย่างก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ แค่คุณแม่เค้าเอ็นดูเจมากขึ้น เพราะเจช่วยชีวิตคุณแม่เอาไว้ ก็เท่านั้นเอง”
ปริมจ้องหน้าลาภิณแล้วน้ำตาก็คลอขึ้นมาอีก “แล้วคุณล่ะคะ ยังเหมือนเดิมรึเปล่า” ปริมจับสังเกตและรอคำตอบ
ลาภิณจ้องหน้าปริม “เราอาจจะทะเลาะกันบ่อยขึ้นนะปริมแต่ผมก็ไม่เคยคิดจะนอกใจคุณเลย”
ปริมถามด้วยสายตาคาดคั้น “แม้แต่กับเจติยาเหรอคะ”
ลาภิณถอนใจ “วนกลับมาเรื่องนี้อีกแล้ว โอเค..ผมยอมรับ ว่าผมสนิทกับเจเค้ามากขึ้น เพราะเค้าทำงานได้อย่างใจ แล้วเราก็มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกัน ก็เลยสนิทกันเร็ว” ลาภิณมีสีหน้าเซ็งๆ ขึ้นมา “แต่ปัญหามันอยู่ที่คนรอบข้างนี่แหละ มานั่งระแวงไม่เข้าท่า ผมหงุดหงิดที่ไม่ไว้ใจกันก็เลยทำอะไรประชดไปบ้าง”
ปริมผละตัวออกห่างแล้วค้อนใส่
“แต่สุดท้าย ผมกับเค้าก็เป็นได้แค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้นล่ะ” ลาภิณพูดเน้นให้ปริมสบายใจ “เพราะผู้หญิงคนเดียวที่ผมเรียกว่าแฟนได้เต็มปาก ก็คือคุณนะปริม”
ปริมน้ำตาคลอด้วยความดีใจ “คุณพูดจริงๆนะคะคุณต้น คุณอย่าหลอกปริมนะ”
ลาภิณยิ้มบางๆ แล้วสวมกอดปริมเอาไว้อีกครั้ง “ผมเคยหลอกปริมด้วยเหรอ”
ปริมที่อยู่ในอ้อมกอดของลาภิณน้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความปลาบปลื้มใจ
ลาภิณกระชับกอด “อย่าคิดมากอีกนะครับ”
ปริมฉุกคิดก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมกอดอีกครั้ง “แล้วถ้าไม่มีปริมล่ะคะ คุณยังจะมองเด็กนั่นเป็นแค่เพื่อนร่วมงานอยู่อีกรึเปล่า”
ลาภิณชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปั้นยิ้มกลบเกลื่อน “อย่าพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้หน่อยเลยน่ะปริม” ลาภิณตัดบท “รีบไปแต่งตัวเถอะครับ เดี๋ยวไปงานวันเกิดคุณอาไม่ทันนะ”
ปริมยังมีสีหน้าไม่สบายใจแต่ก็ฝืนยิ้มบางๆ แล้วผละตัวออกไป
“รอซักครู่นะคะ” ปริมลุกเดินไปเข้าห้องนอนแต่สีหน้าของเธอก็ยังกังวลใจมาก
ลาภิณทิ้งตัวนั่งพิงศีรษะไปกับโซฟาด้วยสีหน้าขรึมเมื่อย้อนคิดถึงคำถามปริมอีกครั้ง

ลาภิณเดินคู่กับปริมในชุดใหม่เดินมาที่ล็อบบี้คอนโด
“ปริมรอที่ล็อบบี้ก่อนแล้วกัน ผมจอดรถเกือบถึงทางออกโน่นแน่ะ เดี๋ยววนรถมารับ”
“ค่ะ”
ลาภิณเดินออกไปจากคอนโด ปริมเดินไปหยุดรอที่ประตูทางออกแล้วมองตามลาภิณไปพร้อมถอนใจออกมาอย่างกลุ้มใจ ลาภิณเดินไปทางลานจอดรถหน้าคอนโด
ทันใดนั้นเชิดก็ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาพร้อมกับชักปืนออกมากระหน่ำยิงไปที่ลาภิณ 3-4 นัดก่อนที่เชิดจะเร่งมอเตอร์ไซค์หนีไปอย่างรวดเร็ว ลาภิณล้มลงจมกองเลือด ปริมที่เห็นเหตุการณ์ตกใจจนแทบช็อค
ปริมร้องลั่นด้วยความตกใจ “คุณต้น” ปริมวิ่งตะบึงออกไปจากคอนโดทันที
ผู้คนบริเวณนั้นต่างแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เจติยา นวัช และนิษฐากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านข้างทาง เจติยาเหม่อลอยเพราะเอาแต่คิดเรื่องป้อมตลอดเวลา
นิษฐาสังเกตท่าทางเพื่อน “เส้นอืดหมดแล้วเจ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดแก้ปมฆาตกรรมนะยะ รีบกินเข้าไปเร็วๆเลย”
เจติยาหน้าเศร้า “ฉันกินไม่ลงหรอกฐา ฉันรู้จักพี่ป้อมมาตั้งแต่เริ่มทำงานที่นิราลัย พี่แกเป็นคนดีมากเลยนะ ไม่น่าโชคร้ายแบบนั้นเลย” เจติยาถอนใจออกมาอย่างเศร้าๆ
นวัชมีสีหน้าใช้ความคิด “พี่สงสัยจริงๆ คนร้ายทำไปเพื่ออะไร เงินทองผู้ตายก็อยู่ครบ สอบปากคำเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน ทุกคนก็รักแกดี ไม่เห็นแกมีปัญหากับใคร”
นิษฐาหน้าบึ้ง “นี่ก็พอกันเลย เลิกพูดเรื่องนี้ซะทีได้มั้ย คนยิ่งอยากจะลืมอยู่” นิษฐานึกถึงภาพศพที่เห็น ก็ทำท่าขนลุกก่อนจะผลักชามอาหารออกไป
นวัชและเจติยาชำเลืองมองหน้ากันด้วยความรู้สึกเห็นด้วยเพราะต่างก็ติดใจสงสัย
นิษฐาหันไปพูดกับเจติยา “แกก็แปลกคนนะเจ ไปไหนก็เจอแต่คนตายตลอด ฉันว่าไปทำบุญสะเดาะห์ซะทีดีมั้ย”
เจติยาหน้าซึมๆ เพราะรู้ว่าเป็นเพราะกล่องรากบุญ “ทำบุญยังไงก็หนีไม่พ้นหรอกฐา”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของนวัชก็ดังขึ้น
นวัชดูเบอร์แล้วกดรับ “ว่าไงจ่า” นวัชฟัง “มีอะไรคืบหน้ามั่ง” นวัชฟังแล้วก็ตกใจมาก “ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไหนครับ” นวัชฟัง “โอ.เค. ครับ” นวัชกดวางสายด้วยสีหน้าเครียด
นิษฐาเห็นสีหน้านวัชจึงถามขึ้น “มีเรื่องด่วนอะไรอีกเหรอคะ”
นวัชหน้าเครียด แล้วหันไปมองเจติยา “คุณลาภิณถูกยิง”
เจติยาตกใจมากอย่างเห็นได้ชัดเพราะเพิ่งเจอกันมาหยกๆ
“ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล อาการเป็นตายเท่ากัน” นวัชบอก
เจติยายกมือขึ้นปิดปากเพราะตกใจจนแทบช็อค นิษฐายื่นมือมาบีบแขนเพื่อนเพื่อให้กำลังใจ นวัชเหล่ๆ มองเจติยาอย่างลอบสังเกตปฏิกิริยาที่เจติยาเป็นห่วงลาภิณ

ชูจิตร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแทบขาดใจเมื่อรู้อาการของลาภิณ โดยมีเจติยา นวัช และนิษฐาอยู่ใกล้ๆ มีเพียงปริมที่เอาแต่มองลาภิณเข้าไปในห้องไอซียูอย่างไม่สนใจใคร ลาภิณนอนสลบไสลในอาการเป็นตายเท่ากันตามตัวเต็มไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิต
เจติยานั่งลงจับมือชูจิตไว้แล้วพยายามให้กำลังใจ “เข้มแข็งเอาไว้นะคะคุณท่าน อย่างน้อยคุณลาภิณก็ยังไม่ได้จากเราไปไหน”
ชูจิตร้องไห้เสียใจ “แต่หมอเค้าก็บอกเอง ว่ากระสุนเข้าที่สำคัญ โอกาสจะฟื้นมีไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ”
“ไม่ถึงสิบแต่ก็ยังไม่ศูนย์นี่คะ ถ้าชีพจรคุณลาภิณยังเต้นอยู่ เราต้องไม่สิ้นหวังนะคะ” เจติยาบอก
“จริงด้วยค่ะ หมอเดี๋ยวนี้เก่งจะตายไป วิทยาการใหม่ๆก็มีเต็มไปหมดคุณลาภิณต้องปลอดภัยแน่ๆค่ะ” นิษฐาช่วยพูด
ชูจิตร้องไห้ไม่ยอมหยุดเพราะถึงใครจะปลอบยังไงเธอก็ไม่รู้สึกดีขึ้นเลย
นวัชเดินเข้าไปหาปริม “ขอโทษนะครับ คุณปริมพร้อมจะให้ปากคำเพิ่มเติมได้รึยัง”
ปริมตวาดแว๊ด “แฟนฉันจะตายรึเปล่ายังไม่รู้เลย ฉันไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามอะไรทั้งนั้นแหละ” ปริมเดินกลับมาหาชูจิต
นวัชได้แต่ถอนหายใจออกมา ชูจิตหน้าเครียดและไม่อยากคุยกับปริมจึงจะลุกขึ้นเดินหนี แต่เกิดหน้ามืดจนทรุดลงไป
เจติยาตกใจจึงรีบประคองไว้ “คุณท่าน คุณท่านคะ”
นิษฐาเข้าไปช่วยเจติยาก่อนจะหันไปพูดกับปริม “คุณ ช่วยไปตามหมอให้หน่อยสิคะ”
“แกเป็นใคร เรื่องอะไรมาใช้ฉัน” ปริมว่า
นิษฐาสวน “แล้วนี่มันญาติใครล่ะ ว่าที่แม่ผัวคุณไม่ใช่เหรอ”
เจติยาปรามเพื่อน “ฐา”
นวัชเซ็ง “เดี๋ยวพี่ไปตามให้เอง”
นวัชเดินเลี่ยงไป นิษฐามองปริมด้วยความไม่พอใจเพราะไม่อยากคุยด้วย ปริมสะบัดหน้าพรืดเดินไปยืนกอดอกมองชูจิตห่างๆ
ปริมพูดพึมพำ “สลับตัวกันได้ก็ดี” ปริมค้อนใส่ชูจิต
เจติยาและนิษฐาช่วยกันปฐมพยาบาลชูจิตทั้งพัดทั้งบีบนวดให้ ในขณะที่ลาภิณยังนอนอยู่ในห้องไอซียู ในอาการโคม่าถึงขั้นยากที่จะยื้อชีวิตเอาไว้ได้

พิสัยส่งซองใส่เงินให้เชิดที่คอนโดของเขา
พิสัยเครียดหนัก “แกแน่ใจนะ ว่าไม่มีใครจำแกได้”
เชิดยิ้มเล็กๆ “มั่นใจเถอะครับคุณพิสัย ผมมันมืออาชีพ แล้วนี่ก็ไม่ใช่งานแรก” เชิดเปิดซองกะดูคร่าวๆ
“ฉันไม่โกงแกหรอกน่ะ ทีหลังก็ไม่จำเป็นต้องใจร้อนถ่อมารับเงินที่ฉันทันทีหรอก”
“ผมโดนโกงมาเยอะครับ เราเองก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกันนักหนา” เชิดเก็บซองเงิน “แต่คุณพิสัยไม่ต้องกลัวจะสาวมาถึงตัวคุณหรอก มอเตอร์ไซค์ที่ผมใช้ไปยิงมันก็ขโมยมา ใส่หมวกกันน็อคปิดหน้าปิดตาขนาดนั้น กล้องวงจรปิดร้อยตัวก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร” เชิดทำสีหน้าเย่อหยิ่งด้วยความมั่นใจสูง
พิสัยพยักหน้ารับ “งั้นแกกลับไปได้แล้ว ถ้ามีงานอะไรจะใช้แกอีก ฉันจะติดต่อไปใหม่”
เชิดยกมือไหว้แล้วเดินออกจากห้องของพิสัยไป
ปราณนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ด้านหลังพิสัย
ปราณยิ้มพอใจ “ทำได้ดีมาก ฉันไว้ใจคนไม่ผิดเลยจริงๆ”
พิสัยหันมาพูดกับปราณด้วยท่าทางเคร่งเครียด “ทำไมต้องให้ฉันยิงไอ้ต้นมันด้วย”
ปราณยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วลุกขึ้นเดินมาหา “เจติยาจะได้ขอพรจากกล่องรากบุญเพื่อช่วยชีวิตมัน แทนที่จะขอพรเพื่อทำลายกล่องน่ะสิ” ปราณสะแหยะยิ้ม “คนอย่างเจติยา ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ”
“แล้วถ้าเกิดไอ้ต้นมันตายขึ้นมาจริงๆล่ะ”

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 28 พ.ย. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager