@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 28 พ.ย. 55

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 28 พ.ย. 55

จะขอพรเพื่อทำลายกล่องน่ะสิ” ปราณสะแหยะยิ้ม “คนอย่างเจติยา ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองเสมอ ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ”
“แล้วถ้าเกิดไอ้ต้นมันตายขึ้นมาจริงๆล่ะ”
ปราณยักไหล่ “ฉันก็แค่หาคนใหม่มารับเคราะห์แทนก็เท่านั้น ส่วนแกก็อยากให้มันตายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
พิสัยยิ้มมุมปากแล้วคิดว่าถ้าไม่ต้องติดคุกก็ถือว่าเขาได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง

ชูจิตนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เจติยาเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูชุบน้ำก่อนจะมานั่งลงข้างเตียงแล้วช่วยเช็ดแขนไล่มาถึงมือของชูจิตด้วยสีหน้าเป็นห่วง เจติยาเหลือบตามองไปทางปลายเตียงแล้วก็ตกใจแทบช็อคที่เห็นลาภิณยืนมองชูจิตด้วยสีหน้าเศร้าๆ อยู่ที่ปลายเตียง

ลาภิณสงสารแม่มาก เขายกมือไหว้ชูจิต “ผมขอโทษครับแม่ ผมเสียใจที่ทำให้คุณแม่ต้องเป็นห่วงจนล้มป่วยแบบนี้”
เจติยาตกใจสุดๆ “คุณลาภิณ”
ลาภิณตกใจ เขาหันมามองเจติยาอย่างนึกไม่ถึง “นี่เธอเห็นฉันด้วยเหรอ”
เจติยาตกใจสุดๆ เพราะถ้าเธอเห็นวิญญาณลาภิณก็เท่ากับว่าลาภิณตายไปแล้วนั่นเอง
“นี่คุณตายแล้วเหรอคะ” เจติยาทำหน้าตาตื่นตกใจ



ลาภิณอยู่ในสภาพโคม่ากำลังนอนอยู่บนเตียงโดยมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตติดระโยงระยางเต็มไปหมด เจติยา กับวิญญาณลาภิณกำลังยืนมองร่างของลาภิณอยู่ไม่ไกล
“ถ้าถอดอุปกรณ์ช่วยชีวิตพวกนี้ออก ฉันคงตายโดยสมบูรณ์ไปแล้วล่ะ” ลาภิณบอก
“แต่ถ้ามองในแง่ดี ก็แสดงว่าคุณยังมีโอกาสรอดอยู่นะคะ” เจติยาให้กำลังใจ
ลาภิณยิ้มขำ “ยังเหลือโอกาสอีกเหรอ ก็แค่หัวใจยังเต้น แต่ร่างกายไม่รับรู้อะไรแล้ว มองโลกในแง่ดีเกินไปรึเปล่า” ลาภิณเดินไปมองดูตัวเองรอบๆเตียงก่อนจะหยุดมองหน้าตัวเอง “เพิ่งเคยเห็นหน้าตัวเองจริงๆ กับตาชัดๆก็วันนี้แหละ รู้สึกแปลกดีเหมือนกันนะ” ลาภิณขำ

เจติยามีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ “นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะคุณลาภิณ มันชีวิตคุณทั้งชีวิตนะ ยังจะทำเป็นเล่นอยู่ได้”
“ฉันไม่ได้เล่น แต่ฉันไม่รู้จะฟูมฟายไปทำไม ทำแล้วฉันจะฟื้นขึ้นมาได้เหรอ” ลาภิณยักไหล่ถาม
เจติยาหน้าขรึมลง “แต่ถ้าคุณเป็นอะไรไป คุณท่านจะเสียใจมากกว่าใครๆ นะคะ”
ลาภิณชะงักไปแล้วก็มีสีหน้าจ๋อยเพราะห่วงความรู้สึกแม่มากที่สุด
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ” ลาภิณนึกขึ้นได้ก็ลอยมาประชิดตัวเจติยาอย่างรวดเร็ว
เจติยาตกใจจึงถอยห่างไปสองก้าว
ลาภิณจ้องหน้า “เธอยังไม่ได้บอกฉันเลย ว่าเธอมองเห็นวิญญาณฉันได้ยังไง” ลาภิณมีสีหน้ารอคำตอบ

เจติยาเดินคุยกับวิญญาณของลาภิณมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
ลาภิณยิ้ม “ปิดซะเงียบเลยนะ มีของดีไม่ยักจะบอกกันมั่ง ไม่น่าล่ะ ถึงได้ชอบทำอะไรพิลึกๆ”
เจติยาทำหน้าเซ็ง “ขนาดไม่บอกใคร ชีวิตฉันยังวุ่นวายซะขนาดนี้ ขืนบอกคงเกิดสงครามแย่งชิงกล่องรากบุญกันแหงๆ” เจติยาหยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าลาภิณ “กล่องนี่เป็นของพ่อคุณมาก่อน ถ้าพ่อคุณเห็นว่ามันมีประโยชน์กับคุณ คงไม่ยกกล่องให้ฉันหรอก”
ลาภิณเหล่มอง “นี่หลอกด่าฉันรึเปล่า”
“ก็แล้วแต่จะคิด” เจติยาเบ้ปากไม่แคร์
ลาภิณยิ้ม “พอรู้อย่างงี้แล้ว ฉันหมดข้อสงสัยแล้วล่ะว่าทำไมคุณพ่อถึงยกหุ้นให้เธอ”
เจติยาสงสัย “ทำไมคะ”
ลาภิณยิ้มบางๆ “เพราะคุณพ่อกลัวว่าเธอจะใช้กล่องรากบุญไปในทางที่ผิดน่ะสิ ก็เลยให้หุ้นกับเธอ เธอจะได้เงินปันผลมาใช้จ่าย ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง”
พยาบาลเดินสวนมาก็เห็นเจติยากำลังเดินพูดอยู่คนเดียว
เจติยามีสีหน้าไม่เห็นด้วย “แล้วไม่คิดบ้างเหรอคะ ว่าคุณพ่อคุณมองเห็นว่าฉันเป็นคนดีจริงๆ”
ลาภิณขำออกมาดังๆ
เจติยาหมั่นไส้จึงแกล้งขู่ “รู้มั้ยว่าฉันมีพลังสะกดวิญญาณไว้เป็นทาสรับใช้ได้นะคะ”
ลาภิณขำค้างทันที
“ทำหัวเราะดีไปเถอะ” เจติยาขำลงคอแบบตัวโกงก่อนเดินนำไป
ลาภิณแอบกลัวก่อนจะรีบเดินตามไป
“เธอจะไปไหนล่ะเจ” ลาภิณเดินตามมาประกบ
“มาตามฉันทำไมล่ะ ไปยืนเฝ้าร่างกายคุณโน่น”
ลาภิณตามติด “ผมกลัว”
เจติยาเดินหนี “งั้นไปนั่งเฝ้าแม่คุณก็ได้”
ลาภิณเดินตามแล้วถามด้วยความสงสัยปนกลัว “แล้วถ้าร่างกายผมตาย วิญญาณผมจะเป็นยังไง จะมีวิญญาณดำๆ มาลากผมไปเหมือนในหนังรึเปล่า”
“ฉันจะไปรู้เหรอ ฉันไม่เคยตาย”
เจติยาเห็นลิฟท์กำลังจะปิดจึงรีบวิ่งสอดตัวหนีเข้าลิฟท์ไปทันที
ลาภิณเรียก “เจติยา”
ลิฟท์ปิดต่อหน้าวิญญาณลาภิณ ลาภิณลืมตัวจึงรีบไปจิ้มที่ปุ่มกดลิฟท์แต่ปรากฏว่าจิ้มไม่ได้เพราะนิ้วทะลุเข้าแป้นกดไป
ลาภิณบ่นกับตัวเอง “จะกดทำไมวะ” แล้วลาภิณก็จางหายไป

กลางดึก เจติยาในชุดนอนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างสบายใจ วิญญาณลาภิณนอนกอดอกอยู่ข้างๆ พร้อมกับเหล่ตามองเจติยาด้วยสีหน้าท่าทางกลัวๆ

ยามเช้า เจติยากำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งพาดมากอดเอวเจติยาไว้ เจติยางัวเงียแต่รู้สึกหนาววูบขึ้นมา เจติยาเลื่อนมือมาสัมผัสกับสิ่งเย็นยะเยือกบางอย่างก็ถึงกับสะดุ้งตื่น แล้วร้องลั่นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นลาภิณกำลังนอนกอดเธออยู่
ลาภิณสะดุ้งตื่นตาม “เกิดอะไรขึ้นเจ”
เจติยาลุกพรวดลงไปจากเตียง แล้วกอดผ้าห่มมาห่อตัวไว้ “ยังจะถามอีก คุณมานอนอยู่นี่ได้ยังไง ไป ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“แล้วเธอจะให้ฉันไปไหนล่ะ นอกจากเธอแล้ว ไม่มีใครเห็นแล้วก็พูดกับฉันได้ซักคน”
“แต่คุณก็ไม่มีสิทธิมาอยู่ในห้องฉัน ฉันเป็นผู้หญิงนะคุณ คุณจะมานอนเตียงเดียวกับฉันได้ยังไง”
ลาภิณยิ้มขำ “โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร ฉันเป็นวิญญาณนะเจ จะไปทำอะไรเธอได้”

เจติยาเจ็บใจ “ผีแต่ละตัว ชีกอเหมือนกันหมด” เจติยาเดินปึงปังเข้าห้องน้ำไป
ลาภิณเท้าสะเอวแล้วเดินตามไปพูด “พูดให้ดีนะเจติยา ฉันไม่ใช่ผี”
ลาภิณมีสีหน้าหงุดหงิด พอหันไปมองที่กระจกโต๊ะเครื่องแป้งก็ไม่เห็นเงาสะท้อนของตัวเอง ลาภิณอดมีสีหน้าเครียดปนกลัวขึ้นมาไม่ได้

เจติยาอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมออกไปข้างนอก เธอเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารที่มยุรีกำลังตักกับข้าวให้นทีกินอยู่
มยุรียิ้มทักทาย “วันนี้มีเวรตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ ทำไมตื่นเช้านักล่ะลูก”
“ตั้งใจจะแวะไปเยี่ยมคุณท่านกะคุณลาภิณที่โรงพยาบาลก่อนน่ะค่ะแม่” เจติยาบอก
“น่าสงสารคุณลาภิณเหมือนกันนะ อยู่ดีๆก็โดนยิงจนโคม่า” นทียิ้มๆ “อย่างงี้ก็เหลือแค่ 2 ช้อยส์แล้วสิพี่เจ” นทีชู 2 นิ้วแล้วยิ้มหน้าเป็น “พี่หมวดกับคุณพิสัย”
เจติยาตวาดแว๊ด “ช้อยส์บ้าอะไรของแก ฉันยังไม่คิดจะชอบใครทั้งนั้นล่ะ”
นทีลอยหน้าลอยตากวนๆ “เหรอ รึว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย” นทีแกล้งทำหน้าตาตกใจ
เจติยาหมั่นไส้ปนเจ็บใจ “พูดมากเดี๋ยวจะโดน”
เจติยายื่นเท้าไปเตะใส่ขานทีที่ใต้โต๊ะอาหาร
นทีตวาดใส่พี่สาว “เจ็บนะ”
“พอซะทีเถอะสองคนเนี่ย น่ารำคาญซะจริง ทะเลาะกันได้ตลอดเวลา” มยุรีว่า
นทีแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เจติยาก่อนจะตักข้าวกิน เจติยาค้อนใส่นทีแล้วก็ตกใจที่เหลือบเห็นลาภิณมานั่งอยู่ข้างๆ นที
เจติยาถลึงตาใส่ลาภิณ “ยังไม่ไปอีก”
นทีผงะไปเล็กน้อย
มยุรีตำหนิ “อะไรกัน น้องยังกินไม่เสร็จเลย จะไล่น้องไปไหนเจ”
เจติยาจ๋อย “เปล่าค่ะแม่ เจไม่ได้หมายถึงนที”
ลาภิณยิ้มขำ “อย่าโวยวายสิ เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะคิดว่าเธอบ้า”
เจติยาหงุดหงิด “ไม่ต้องมาพูดมากเลยนะ”
นทีจ้องหน้า “อะไรอีก ผมยังไม่ได้พูดอะไรซักคำ เป็นไรของพี่หาเรื่องกันนี่หว่า”
มยุรีไม่พอใจ “เจไปอารมณ์เสียใครมาลูก มาลงกับน้องอีกแล้วนะแม่ไม่ชอบเลย”
เจติยาหน้าเสีย “ไม่ใช่ค่ะแม่” เจติยาตัดบท “โอ้ย เจไม่กินข้าวแล้วนะคะ ไปก่อนนะคะแม่”
เจติยาไหว้แม่แล้วรีบชิ่งหนีไปทันที ปล่อยให้แม่กับน้องมองตามด้วยความงุนงง วิญญาณลาภิณตามประกบด้านหลังเจติยาไปติดๆ
เจติยาหันมาโวยวาย “ถ้าคุณไม่เลิกตามกวนประสาทฉัน”
นทีและมยุรีเห็นเจติยาหันมาพูดโวยวายอยู่คนเดียว
“ฉันจะไปขอน้ำมนต์หลวงพ่อมาสาดคุณ” เจติยาเดินฉับๆ อย่างอารมณ์เสียออกไป
นทีและมยุรีหันมามองหน้ากันแบบทั้งอึ้งทั้งงง
“แม่ว่าพี่เจเค้าจะทำงานกับศพมากจนเพี้ยนมั้ย” นทีถาม
“แกไม่ต้องไปว่าพี่เค้าเลย เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีกหรอก รีบกินข้าวไปเลย”
นทีหันมองตามพี่สาวไปอย่างขำๆ

เจติยาเดินลิ่วมาด้วยความหงุดหงิด ทันใดนั้นก็มีลมพัดวูบมาทางด้านหลังของเจติยาจนผมปลิว เจติยาอารมณ์เสียจึงหยุดกึก
เจติยาโกรธจัด “คุณลาภิณ เมื่อไหร่คุณ..” เจติยาหันขวับไปทางด้านหลัง
เจติยาเห็นวิญญาณของป้อมในสภาพที่ตาย ดูสยดสยองกำลังยืนมองเธอเขม็ง เจติยาผงะตกใจจนแทบช็อค เธอยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะร้องเสียงดังออกมา

เจติยากำลังเดินคุยกับป้อมที่อยู่ในสภาพปกติมาตามทางในโรงพยาบาล
“เจไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะพี่ป้อม แต่ตอนนี้เราไม่มีเบาะแสอะไรเลย เจก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นหาตัวฆาตกรจากที่ไหน”
“พี่ขอโทษด้วยนะคะน้องเจ พี่จำไม่ได้เลยจริงๆว่าใครฆ่าพี่ ไม่งั้นพี่คงบอกน้องเจไปแล้ว” ป้อมว่า
“แต่เท่าที่ดูจากสภาพศพ พี่ป้อมถูกทำร้ายจากทางด้านหน้านะคะแล้วพี่ป้อมไม่เห็นหน้าคนร้ายเลยเหรอคะ”
ป้อมนิ่งคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะส่ายหน้า “พี่จำไม่ได้ค่ะ พี่รู้แต่มีคนฆ่าพี่ แต่เป็นใคร พี่จำไม่ได้จริงๆ”
เจติยาแปลกใจมาก “แปลกจัง แสดงว่าพี่ต้องถูกฆ่าตายแบบเร็วมากๆเลยนะคะ”
เจติยาเปิดประตูห้องพักของชูจิตเข้าไปก็เห็นพยาบาลกำลังเปลี่ยนผ้าปูที่นอนอยู่ โดยที่ชูจิตไม่ได้อยู่ในห้องนี้
เจติยามองหาชูจิต “ขอโทษนะคะ คุณชูจิตกลับบ้านไปแล้วเหรอคะ”
“ยังไม่ได้กลับหรอกค่ะ แต่เห็นว่าลูกชายที่อยู่ห้องไอซียูหัวใจหยุดเต้น ตอนนี้คุณหมอกำลังช่วยชีวิตอยู่ค่ะ” พยาบาลบอก
เจติยาตกใจสุดๆที่รู้ว่าลาภิณกำลังจะตาย เธอรีบวิ่งออกไปจากห้องทันที

ชูจิตกอดตัวเองแน่นพร้อมกับร้องไห้จนตัวสั่น เธอกำลังมองดูหมอและพยาบาลช่วยกันใช้เครื่องช็อตหัวใจช่วยชีวิตลาภิณอยู่ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะกู้ชีพจรลาภิณคืนกลับมาได้ ชูจิตร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด หมอและพยาบาลช่วยกันยื้อชีวิตลาภิณสุดความสามารถ ร่างลาภิณยังแน่นิ่งเหมือนพร้อมจะจากไปได้ตลอดเวลา

เจติยาประคองชูจิตที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นมานั่งลงบนเตียง โดยมีวิญญาณของลาภิณคอยดูอยู่ด้วยความเป็นห่วงแม่จับใจ
“เข้มแข็งไว้นะคะคุณท่าน ยังไงตอนนี้ คุณหมอก็ช่วยคุณลาภิณไว้ได้แล้ว คุณท่านอย่าเพิ่งไปคิดกังวลอะไรล่วงหน้าอีกเลยนะคะ”
ชูจิตร้องไห้ “ครั้งนี้ช่วยได้ แล้วครั้งหน้าล่ะ ให้ฉันตายแทนซะดีกว่าต้องทนเห็นลูกเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้”
ลาภิณสงสารแม่จับใจ “ผมไม่ยอมให้คุณแม่ต้องมาเป็นอะไรแทนผมหรอกครับ”
เจติยาได้ยินหันมองไปทางลาภิณ
ลาภิณมองไปที่ชูจิตแบบรู้สึกแย่ๆ “ลูกอย่างผม ไม่เคยทำอะไรให้คุณแม่ภูมิใจซักอย่าง ผมไม่มีค่าพอให้คุณแม่ต้องเอาชีวิตมาแลกหรอกครับ” ลาภิณหันไปพูดกับเจติยา “เจ บอกคุณแม่ให้หน่อยสิ”
เจติยามีสีหน้าไม่เห็นด้วยจึงส่ายหน้า “ความคิดคุณไม่ถูกต้อง”
ชูจิตกลั้นน้ำตาแล้วถามเจติยาด้วยความสงสัย “เธอว่าอะไรนะ”
เจติยาหน้าแหยเพราะแบ่งสมองแทบไม่ทัน “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เจก็บ่นไปเรื่อยเปื่อย” เจติยาฉีกยิ้มกลบเกลื่อน
ชูจิตทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรงพร้อมกับยกมือไหว้ “ขอให้เกิดอัศจรรย์ขึ้นกับต้นด้วยเถอะ ฉันยอมแลกทุกอย่างแม้แต่ชีวิต” ชูจิตน้ำตาไหลซึมออกมา
ลาภิณมองแม่อย่างซาบซึ้งใจ เขาเดินมานั่งลงข้างๆ ชูจิตด้วยสีหน้าเศร้าซึม
เจติยากระซิบบอกลาภิณ “กล่องรากบุญเท่านั้นที่ช่วยคุณได้”
ลาภิณหน้าขรึมลงพร้อมกับชำเลืองมองแม่อีกครั้ง ชูจิตยังคงร้องไห้ตัวสั่นสะท้านไม่หยุด วิญญาณลาภิณสงสารแม่จับใจ เขาค่อยๆ ขยับตัวลงนอนงอตัวคุดคู้อยู่ข้างๆ แล้วสวมกอดแม่เอาไว้ด้วยน้ำตาคลอ เจติยามองดูแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจกับความรักของสองคนแม่ลูกจึงพลอยน้ำตารื้นตามไปด้วย

นวัชเปิดประตูห้องทำงานกว้างออกพร้อมพูดคุยกับเจติยาไปด้วยขณะที่เจติยาเดินนำเข้าห้องทำงานของนวัชมาก่อน
นวัชคุยต่อ “แรงจูงใจแทบไม่มีเลยนะ ผู้ตายเป็นคนนิสัยดี เข้าได้กับทุกคน ไม่มีทรัพย์สินล่อตาล่อใจ แล้วก็ไม่มีการล่วงละเมิดทางเพศด้วย กว่าเราจะคลำหาเบาะแสเจอ ก็คงอีกเป็นอาทิตย์แหละ บางทีอาจจะนานกว่านั้น”
เจติยาหน้าเครียด “เจไม่มีเวลารอนานขนาดนั้นหรอกค่ะพี่หมวด ตอนนี้ทุกวินาทีมีค่าทั้งนั้น”
นวัชแปลกใจ “ทำไมเหรอเจ คลี่คลายคดีป้อมได้จะมีผลอะไรเหรอ เจถึงต้องรีบร้อนหาตัวฆาตกรให้ได้ขนาดนี้”
เจติยาลำบากใจ “แล้วเจจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันค่ะ” เจติยารีบตัดบท “เอาเป็นว่า ถ้าเจอยากจะช่วยสืบคดีนี้ พี่หมวดช่วยแนะนำหน่อยสิว่าเจควรเริ่มต้นที่ไหน”
นวัชคิดอยู่ครู่นึง “เท่าที่สอบปากคำจากญาติของป้อมก็ไม่มีพิรุธอะไร พี่ว่าเจลองสืบจากคนที่หอพักหรือที่ทำงานดูอีกทีก็ได้นะ บางทีอาจจะได้ข้อมูลที่แตกต่างจากทางเจ้าหน้าที่ลงสืบไปแล้วก็ได้”
เจติยามีสีหน้าครุ่นคิดตามที่นวัชบอก “ขอบคุณค่ะ”
นวัชเหล่ๆ มองเจติยาด้วยสีหน้าสงสัย

นิษฐากำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าหอพักของป้อม
นิษฐาเซ็ง “ทำไมต้องเป็นฉันทุกทีเลยนะแก” นิษฐาฟังอีกฝ่าย
ทันใดนั้นก็มีป้าคนหนึ่งเดินออกมาหานิษฐา
“ว่าไงจ๊ะหนู มีอะไรจะคุยกับป้าก็ว่ามา ไม่มีลูกค้าแล้ว” ป้าถาม
“แค่นี้ก่อนนะแก” นิษฐาตัดสายแล้วยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณป้า...นั่งตรงนี้ก่อนค่ะ” นิษฐาพาไปนั่งที่เก้าอี้หน้าหอพักที่มีน้ำดื่มเตรียมพร้อม “โอเลี้ยงโบราณค่ะ”
ป้ายิ้มแย้ม “อุ๊ย ขอบใจจ้ะ ถูกใจป้ามาก” ป้าก้มดูดโอเลี้ยง
พิศยืนแอบมองอยู่ไม่ห่าง พอเห็นนิษฐาคุยกับป้าในหอพักพิษก็มีสีหน้าเคร่งเครียดและกระสับกระส่าย

เจติยากำลังยืนซักถามเรื่องป้อมกับพนักงานคนนึงที่กำลังรินน้ำดื่มอยู่
“พี่เจอพี่ป้อมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เหรอคะ”
ทวีเดินถามพนักงานอีกคนผ่านไปก่อนจะตบบ่าแล้วเดินไปนั่งกับพนักงานที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เพื่อถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องป้อม เจติยาเดินไปหาพนักงานที่เคาท์เตอร์ด้วยสีหน้าร้อนใจ ขณะเดินผ่านลิฟท์โอ้เอ้ก็เดินกอดคอเพื่อนรุ่นเดียวกันออกมาจากลิฟท์
“ครั้งสุดท้ายฉันเจอป้าแกด่า ตอนทำกาแฟเย็นหก จัดหนักเลย อายซะ” เพื่อนโอ้เอ้บอก
“มึงเจ็บแค้นมากขนาดตามไปฆ่าป้าแกเลยรึเปล่าวะ” โอ้เอ้ถาม
“ไอ้บ้า หาคุกให้กูซะแล้วไอ้โอ้เอ้ ซี้กันหรอก ป้าแกเลยกล้าด่า”
เจติยาเดินไปนั่งคุยกับพนักงานต้อนรับเพื่อซักไซ้เกี่ยวกับเรื่องป้อม
พิสัยแอบมองอยู่เงียบๆ และมีสีหน้านิ่งๆ

เจติยา ทวี และโอ้เอ้มารวมตัวที่มุมหนึ่งของบริษัท โดยที่เจติยากำลังคุยมือถืออยู่
เจติยาหน้าเครียด “ทางฉันไม่ได้เรื่องเลย แล้วแกล่ะ” เจติยาฟังแล้วก็หน้าจ๋อย “ไม่เลยเหรอ” เจติยาฟัง “ฉันยังบอกอะไรแกตอนนี้ไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าคดีของพี่ป้อม เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของชีวิตคนอื่นด้วย”
โอ้เอ้เหลือบตามองเจติยาที่คุยโทรศัพท์อยู่ด้วยสีหน้าสงสัย

เจติยาคุยโทรศัพท์กับนิษฐาต่อ “ฉันถึงต้องพยายามหาตัวฆาตกรให้ได้เร็วที่สุด” เจติยาฟัง “เออๆ แกยังไม่ต้องเข้าใจหรอก” เจติยาตัดบท “ขอบใจแกมากนะฐา แล้วเจอกัน” เจติยากดวางสายไป
โอ้เอ้สงสัย “คดีพี่ป้อมเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของใครอีกเหรอพี่เจ”
เจติยาและทวีสบตากันอย่างรู้กัน ทวีอึกๆอักๆ เพราะไม่รู้จะตอบแทนยังไง
เจติยารีบตอบมั่วๆไป “ก็พวกเราๆนี่แหละ” เจติยาตัดบท “ยังไงพี่ป้อมก็เป็นเพื่อนร่วมงานเรา จะปล่อยให้ตายฟรีรึไง”
เสียงพิสัยดังขึ้น “ฉันอาจจะมีข้อมูลที่เธอต้องการก็ได้นะ”
ทุกคนหันไปมองพิสัย
พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ก่อนป้อมจะตายไม่กี่ชั่วโมง ฉันเจอกับเค้านะ เรื่องนี้ฉันไม่เคยบอกใครด้วย แต่ถ้าเป็นเธอ ฉันก็เต็มใจจะเล่าให้ฟัง”
เจติยามองพิสัยด้วยความสนใจขึ้นมาทันที
โอ้เอ้แอบส่ายหน้าห้ามเจติยาด้วยความเป็นห่วงเพราะระแวงพิสัย
ทวีช่วยเจติยาเพราะกลัวตกหลุมพราง “พวกเราขอตัวไปทำงานต่อนะครับคุณพิสัย ไปเจ”
ทุกคนลุกขึ้นรวมทั้งเจติยาด้วย

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 28 พ.ย. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager