@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 13 พ.ย. 55

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 13 พ.ย. 55

เลยให้โอ้เอ้ไปเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาเปิดให้ทุกคนดู จะได้รู้ว่าใครเป็นคนโกหก แถมเจติยายังมีหลักฐานที่ทั้งสองคนไปล่ารายชื่อพนักงานแต่ละแผนกที่ลุงทวีแอบเก็บไว้มามอบให้ลาภิณด้วย

ปองรีบคิดหาทางแก้ตัว “ก็ผมเห็นว่าคุณลาภิณยังไม่พร้อมจะบริหารงาน แล้วมันผิดเหรอครับ ที่ผมจะคิดต่าง”

ย้งช่วยเสริม “ผมว่าคุณจะฉวยโอกาสนี้ไล่พวกเราออกมากกว่า คิดเหรอครับว่าทำแบบนี้แล้วพนักงานคนอื่นจะยอมรับคุณ”

ลาภิณเปิดลิ้นชัก หยิบแฟ้มเอกสารออกมาแฟ้มหนึ่ง พร้อมกับลุกขึ้นยืน “แล้วหลักฐานทุจริตพวกนี้ล่ะ พอที่ไล่พวกนายออกได้รึยัง ช่วงที่ฉันไม่เข้าบริษัทมาสองสามวัน ก็เพราะมัวแต่ยุ่งหาหลักฐานพวกนี้อยู่ ทั้งเบิกค่าโอทีเกิน สั่งของผิดสเปก แล้วก็เอาของบริษัทไปใช้ส่วนตัวอีก ทุกอย่างมีหลักฐานแล้วก็พยานครบถ้วน ทีนี้ก็เลือกเอาแล้วกัน ว่าจะยอมโดนไล่ออกดี ๆ หรือจะให้ฉันแจ้งตำรวจ”

ปอง และย้ง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เหล่ไปทางพิสัย พิสัยมองกลับด้วยสายตาถมึงทึง เจ็บใจที่ลูกน้องโกงแล้วทิ้งหลักฐานให้ลาภิณจับได้ขนาดนี้ เจติยามองลาภิณด้วยความทึ่ง คิดไม่ถึงว่าลาภิณจะจริงจังหาหลักฐานเล่นงานคนพวกนี้ได้



ระหว่างที่เจติยา นวัช นิษฐากำลังนั่งทานก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ร้านข้างทาง จู่ ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น นวัชรีบลุกตามเสียงกรีดร้องไปทันทีตามวิสัยตำรวจ นิษฐาตามไปติด ๆ ตามวิสัยนักสังคมสงเคราะห์ เจติยาถอนใจแล้วลุกเดินตามไป

นวัชวิ่งนำตามเสียงกรีดร้องมาถึง ก็เห็นแม่น้องออยนั่งกอดศพน้องออยเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 7-8 ขวบที่ถูกรถชนเลือดท่วมพร้อมกับร้องไห้ราวกับจะขาดใจ โดยมีคนมุงอยู่ 3-4 คน นวัชพยายามซักถามเหตุการณ์แต่ก็รู้เพียงแค่ว่าน้องออยถูกรถชนแล้วหนีไป ไม่มีใครเห็นตอนที่ถูกชนเลยแม้แต่คนเดียว เจติยาเดินเข้าไปหาศพน้องออยด้วยความสงสารจับใจ ทันใดนั้นเอง ศพน้องออยก็หันมามองเจติยาตาเขม็ง

“บอกความจริง”

เจติยาผงะ ตกใจสุด ๆ ที่งานต่อไปของกล่องรากบุญคือค้นหาความจริงให้กับวิญญาณน้องออยนั่นเอง

ก่อนนอนคืนนั้น เจติยาหยิบกล่องรากบุญขึ้นมาดู พร้อมกับย้อนนึกถึงเรื่องที่ได้คุยกับลุงทวีเมื่อตอนกลางวัน

“เราหลีกเลี่ยงคำขอร้องของวิญญาณพวกนั้นไม่ได้หรอกหนูเจ เพราะถ้าเราไม่ทำ หรือทำไม่สำเร็จภายในหนึ่งเดือน เราก็จะต้องตาย”

“ถ้าอย่างงั้น มันก็ไม่ต่างจากเราตกเป็นทาสของกล่องรากบุญสิคะลุง ต้องทำไปเรื่อย ๆ ตามที่กล่องต้องการ จนกว่าจะตาย หรือไม่ก็หาเจ้าของใหม่ให้กล่องได้”

“นั่นแหละ ลุงถึงได้ให้กล่องกับคุณสารัช ทันทีที่รู้ว่าคุณสารัชเป็นมะเร็ง เพราะลุงเองก็กลัวเหมือนกันว่าซักวันต้องตายเพราะกล่องใบนี้ ถ้าหนูเจเริ่มกลัว ก็มองหาเจ้าของคนใหม่สิ เลือกคนที่มีความปรารถนาแรงกล้า แล้วก็เป็นคนดีพอที่จะไม่ใช้กล่องใบนี้ไปในทางที่ผิด”

“แต่ถ้าเจหาเจ้าของคนใหม่ ก็เท่ากับมีทาสเพิ่มขึ้นอีกคนนึงสิคะ”

“เจพูดเหมือนคุณสารัชเลยนะ คุณสารัชก็คิดอย่างงี้ถึงไม่ได้ยกกล่องให้ใครซะที จนเวลาของเค้าใกล้จะหมดลง ถึงได้ยกให้กับหนู”

“แต่เจไม่อยากทำอะไรแบบนี้แล้วนี่คะ”

“ลุงเข้าใจว่าหนูเครียด ยังไงก็นึกซะว่าสิ่งที่กล่องให้ทำเป็นสิ่งที่ดีก็แล้วกัน แถมยังได้อธิษฐานขออะไรก็ได้เป็นรางวัลอีก”

“ลุงเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ เจไม่ได้เครียดที่ต้องช่วยเหลือวิญญาณพวกนั้น แต่ที่เจไม่อยากทำ เพราะเจคิดว่าการทำความดีต้องมาจากใจจริง ไม่ใช่การบังคับ หรือการเอาพรวิเศษมาล่อแบบที่กล่องรากบุญทำอยู่”

“ลุงไม่เคยเห็นใครคิดแบบหนูเลย”

“ลุงคะ แล้วถ้าเจจะช่วยเหลือวิญญาณพวกนั้นต่อไป แต่ไม่ขอพรอะไรจากกล่องรากบุญอีกล่ะคะ จะเป็นอะไรรึเปล่า”

“ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน ขนาดคุณสารัชที่ท่านมีพร้อมทุกอย่างจนไม่รู้จะขออะไรอีกแล้ว ก็ยังขอในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเรื่อยเปื่อย เพื่อให้กล่องมันทำหน้าที่ของมันต่อไป”

เจติยา สีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ว่าจะทำยังไงกับกล่องดี สุดท้ายหญิงสาวตัดสินใจวางกล่องรากบุญในมือลง “ฉันจะไม่ยอมตกเป็นทาสของแกหรอก แม่ฉันหายป่วย ฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว สิ่งอื่นที่ฉันอยากได้ ฉันจะหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของฉันเอง ไม่มีอะไรที่ฉันจะขอจากแกอีกแล้ว เข้าใจซะด้วย”

เจติยาวางกล่องลงบนโต๊ะ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ ที่กล่องรากบุญมีเงาดำทะมึน ไหววูบวาบอยู่บนกล่อง รูปยักษ์แกะสลักบนฝากล่อง เปล่งแสงสีแดงฉานจากนัยน์ตายักษ์ เหมือนไม่พอใจความคิดแบบนี้ของเจติยามาก

เช้าวันรุ่งขึ้น น้องออยมาปรากฏตัวให้เจติยาเห็นอีกครั้ง เร่งให้เจติยารีบบอกความจริงว่าใครเป็นคนขับรถชน เจติยาทานข้าวเช้าเสร็จรีบแวะไปหานวัชที่บ้าน เพื่อสอบถามความคืบหน้ากรณีน้องออย แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า นวัชฉวยโอกาสอาสาขับรถไปส่งเจติยาที่คณะ

พอไปถึงก็ได้พบกับนิษฐาที่เดินคุยมากับกุลธิดาที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเข้าพอดี เจติยาเห็นกุลธิดาก็ดีใจมาก รีบปรี่เข้าไปทักทาย กุลธิดาแกล้งกระเซ้าเจติยาเรื่องนวัช เจติยารีบแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกัน นิษฐากลัวเจติยาจะหลุดปากพูดเรื่องที่ตนแอบชอบนวัชออกมา รีบไล่ให้กุลธิดาแยกย้ายไปเรียน พร้อมกับดึงแขนเจติยาให้เดินไปอีกทาง บังเอิญได้เจอกับลาภิณเข้าพอดี ต่างฝ่ายต่างแปลกใจ

“คุณลาภิณ มาได้ยังไงคะเนี่ย จะมาตามตัวพนักงานกลับไปทำงานรึเปล่าคะ” นิษฐาแอบเหล่มองเจติยา

“เปล่าหรอกครับ วันนี้ผมมาบรรยายเรื่องธุรกิจเกี่ยวกับศพให้นักศึกษาฟัง พอดียังไม่ถึงเวลา ก็เลยแวะมาหากาแฟดื่มแก้ง่วงซักแก้ว”

เจติยาขยับปากพูดพึมพำ หมั่นไส้ “ถอนเมาค้างซะมากกว่า”

ขณะนั้นเอง ก็มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง เดินหน้าตาตื่นเข้ามามาหาเจติยากับนิษฐา “เธอสองคนเป็นเพื่อนสนิทกับเอียดใช่มั้ย”

“ใช่ มีอะไรเหรอ”

“ภัสเพื่อนฉันมันสติแตก หาว่าเอียดแย่งพี่บอย มันก็เลยเอามีดขู่เอียดให้ไปกับมัน เธอรีบตามไปดูหน่อยเถอะ”

นวัชเป็นห่วงความปลอดภัย “แล้วเค้าพาตัวเพื่อนคุณไปไหนครับ”

“ดาดฟ้าคณะค่ะ”

เจติยาหน้าเครียด “ฐารู้จักพี่บอยอะไรนี่มั้ย”

“รู้จัก อยู่คณะถาปัตย์”

“งั้นแกรีบไปตามพี่บอย ฉันกับพี่หมวดจะไปช่วยเอียดก่อน ไปค่ะพี่หมวด”

นิษฐาบอกกับนักศึกษาหญิงที่เดินมาตามพวกเธอให้ไปบอกอาจารย์ให้ตามไปเร็ว ๆ แล้วทุกคนก็รีบแยกย้ายกันไป ลาภิณยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เห็นยังพอมีเวลาเหลือ เลยตามออกไปอีกคน

ภัสสรถือมีดคัตเตอร์ขู่ให้กุลธิดาเลิกยุ่งกับพี่บอย กุลธิดาพยายามอธิบาย แต่ภัสสรไม่ฟัง เงื้อมือจะเอาคัตเตอร์ฟันลงไปที่หน้ากุลธิดา กุลธิดากรี๊ดลั่น กลัวสุดขีด แต่ทันใดนั้น ประตูดาดฟ้าก็เปิดออก พร้อมกับเจติยา นวัช อาจารย์วิเชียร และนักศึกษาเพื่อนภัสสรอีก 2-3 คนตามเข้ามา โดยมีลาภิณตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย

ภัสสรเห็นคนมากันเยอะก็ตกใจกลัว รีบเข้าไปล็อกแขนกุลธิดาไว้ทันที “อย่าเข้ามานะ ถ้าใครเข้ามา ฉันกับนังนี่จะตกลงไปตายพร้อมกันให้ดู”

“ฟังอาจารย์ก่อนภัสสร ค่อย ๆ คิด เธอยังมีอนาคตอีกไกล จะมาตัดอนาคตตัวเองทำไม”

นวัชกระซิบบอกเจติยาให้หาทางถ่วงเวลาดึงความสนใจไว้ก่อน จากนั้นนวัชก็ค่อย ๆ ถอยหลังออกมา แล้วเดินอ้อม ๆ ไปเพื่อให้พ้นสายตาของภัสสร เจติยาคิดหาเรื่องคุยถ่วงเวลาอยู่ ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยไม่รู้จะทำไงดี ลาภิณเห็นท่าทางเป็นกังวลเลยเดินเข้าไปหา สองคนช่วยกันพูดถ่วงเวลา ภัสสรโดนกดดันจนสับสนหนัก ขณะนั้นเอง นิษฐาก็พาบอยเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ

บอยทั้งโกรธทั้งอาย “ปล่อยเอียดเดี๋ยวนี้นะภัส เอียดเค้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ไปยุ่งกับเค้าทำไม”

“พี่บอยปกป้องมันเหรอ รักมันมากใช่มั้ย ดี งั้นภัสจะให้มันตายพร้อมกับภัสไปเลย”

ภัสสรพยายามจะลากกุลธิดาไป กะจะโดดตึกลงไปด้วยกัน ทันใดนั้นเอง นวัชก็กระโจนเข้าล็อกตัวภัสสรทันทีจากทางด้านหลัง นวัชบิดมือภัสสรจนคัตเตอร์หลุดตกพื้น แล้วจับตัวภัสสรเอาไว้ ในขณะที่กุลธิดารีบวิ่งเข้าไปกอดเจติยากับนิษฐาทันทีด้วยความตื่นตระหนก ท่ามกลางความโล่งอกของทุกคน

พอจบเรื่องภัสสรก็เริ่มกลัวขึ้นมา หญิงสาวนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้องพักอาจารย์ไม่หยุด จนบอยเริ่มรำคาญ

“หยุดร้องซะทีเถอะภัส ก่อเรื่องจนคนเค้าเดือดร้อนไปกันหมดแล้ว”

นิษฐาไม่พอใจ “ก็ต้องโทษความเจ้าชู้ของพี่น่ะแหละ อุตส่าห์ไปตามพี่มาช่วยพูด กลับทำให้แย่หนักเข้าไปอีก”

นวัชรีบตัดบท “เอาเถอะ เมื่อเคลียร์กันได้แล้วก็ดี”

“เคลียร์กันได้ตรงไหนคะพี่หมวด เมื่อกี๊เอียดกลัวแทบตาย ถ้าพี่หมวดช่วยไว้ไม่ทัน ป่านนี้เอียดอาจจะตกลงไปคอหักตายไปแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้น ยังไงเอียดก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”

“ฉันขอโทษ ฉันยอมรับผิดทุกอย่าง แต่ฉันไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอจริง ๆ หรอกนะเอียด ฉันก็แค่ต้องการขู่ให้เธอเลิกกับพี่บอยเท่านั้นเอง ถ้าฉันคิดจะทำร้ายเธอจริง ๆ ฉันทำไปนานแล้ว ไม่พาเธอขึ้นไปถึงบนดาดฟ้าให้เสียเวลาหรอก”

“ตอนนี้เธอจะพูดยังไงก็พูดได้ กลัวขึ้นมาล่ะสิ”

เจติยาช่วยพูดไม่ให้กุลธิดาเอาเรื่องภัสสร บอยช่วยขอร้องอีกคน ภัสสรรู้สึกซาบซึ้ง ดีใจที่บอยปกป้อง อ.วิเชียรช่วยพูดด้วยอีกคน

“ไม่ใช่ว่าอาจารย์เข้าข้างภัสสรมากกว่าเธอหรอกนะกุลธิดา แต่ถ้าสถานการณ์กลับกัน อาจารย์ก็ไม่อยากให้เธอต้องมีประวัติด่างพร้อยเพราะเรื่องแบบนี้เหมือนกัน”

อ.วิเชียรหน้าเครียดไปอย่างผิดสังเกตหลังพูดประโยคนี้จบ เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจอยู่มาก กุลธิดาคิดทบทวนอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจไม่เอาเรื่องภัสสร

หลังบรรยายเสร็จ ลาภิณเดินมาเจอเจติยาหน้าตึกเรียนโดยบังเอิญ ทั้งสองหยุดแวะทักทายพูดคุยกัน จังหวะนั้นเองน้องออยปรากฏตัวขึ้นแล้วชี้ให้เจติยาดูรถสีดำที่ชนเธอ เจติยาหันมองตาม เห็นรถสีดำคันหนึ่ง จอดอยู่หน้าตึก

ทันใดนั้นเอง อาจารย์วิเชียรก็เดินออกมาจากตึกเรียน แล้วกดรีโมตปลดล็อกรถสีดำคันนั้น ก่อนจะเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งแล้วขับออกไป เจติยาตกใจมากที่รู้ว่าฆาตกรที่ขับรถชนน้องออยคือใคร

เจติยาจดเลขทะเบียนรถ อ.วิเชียรไปให้นวัช แต่ไม่ยอมบอกว่าไปได้เลขทะเบียนรถที่ชนน้องออยมาได้ยังไง นวัชเอะใจคิดว่าเจติยาอาจฝันถึงน้องออยเหมือนกับคดีป้านิภาเจติยาไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยรับสมอ้างตามที่นวัชพูด นิษฐารู้สึกแปลกใจสุด ๆ เมื่อได้รู้เรื่องคดีป้านิภาจากปากนวัช

แม้นวัชจะเชื่อคำพูดเจติยา แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานก็ไม่สามารถเอาผิด อ.วิเชียรได้ กลางดึกคืนนั้น น้องออยบุกไปอาละวาดใส่เจติยา ไม่พอใจที่เจติยาไม่ยอมบอกความจริงทั้งที่รู้ตัวฆาตกรแล้ว เจติยาพยายามอธิบาย แต่น้องออยไม่ฟัง อาละวาดไม่ยอมหยุด

เจติยาตกใจแทบช็อก ก่อนจะฮึดสู้ ตวาดใส่ด้วยอารมณ์โกรธ เหมือนดุน้อง เสียงดัง “หยุดเดี๋ยวนี้นะออย ถ้าไม่มีเหตุผลแบบนี้ ต่อไปพี่จะไม่ช่วยเหลืออะไรอีกแล้ว”

น้องออยตกใจมากอารมณ์เด็กถูกดุแล้วกลัว หายวับไปทันที ทุกอย่างกลับเป็นปกติ เจติยาเครียดจัด กลัวจนจะประสาทเสียอยู่แล้ว

นทีขาดเรียนติดต่อกันบ่อยจนจะหมดสิทธิสอบแล้ว ครูประจำชั้นเป็นห่วงเลยไปหาที่บ้าน เจติยาพอรู้เรื่องก็ไม่พอใจมาก รีบบุกไปตามหาที่หอพักเพื่อนนทีทันที พอไปถึงเห็นนทีกำลังนั่งเล่นเกมฟุตบอลอยู่กับเพื่อนก็รีบปรี่เข้าไปกระชากนทีออกจากห้องท่ามกลางความตกใจของพวกเพื่อน ๆ

“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะพี่ พี่จะมาทำกับผมแบบนี้ไม่ได้นะ”

“ไม่ใช่เด็กเหรอ แล้วที่แกหลอกแม่หลอกฉันว่าไปเรียน แต่กลับมามั่วสุมอยู่ที่นี่ล่ะ เค้าเรียกว่าอะไร นี่ถ้าอาจารย์ประจำชั้นของแกไม่ไปหาที่บ้าน ฉันกับแม่ก็ยังโง่ถูกแกหลอกไปเรื่อย ๆ”

“พี่ไม่มีวันเข้าใจผมหรอก ผมเป็นตัวเต็งที่จะได้รับเลือกเข้าทีมฟุตบอล แต่อยู่ ๆ ก็วืด ผมอายจนไม่อยากสู้หน้าใครแล้ว พี่จะให้ผมไปโรงเรียนอีกเหรอ”

“นี่น่ะเหรอเหตุผลของแก เอาสีข้างเข้าถูชัด ๆ ฉันกับแม่เหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อหาเงินส่งแกเรียน แต่แกกลับไม่ไปเรียนเพราะเหตุผลงี่เง่า ไม่มีสมองยังงี้ก็อย่าเรียนมันเลย”

“เอะอะก็ขู่ไม่ให้เรียน เอาซี แน่จริงก็เอาผมออกมาเลยสิรับรองว่าแม่ไม่มีทางยอมให้พี่ทำหรอก”

“แกทำผิดขนาดนี้ ยังกล้ามาท้าทายฉันอีกเหรอ ก็ได้ เมื่อแกไม่รักดียังงี้ ต่อไปนี้ฉันก็จะไม่ยุ่งกับแกอีก สตางค์แดงเดียว ฉันก็จะไม่มีวันให้แก”

“ไม่ให้ก็ไม่เอา คิดว่ามีเงินแล้วคนอื่นต้องง้อเหรอ ผมหาเงินใช้เองก็ได้ จะได้ไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณ ให้พี่มานั่งทวงได้ทุกวัน”

นทีหนีกลับเข้าหอพักเพื่อนไป เจติยามองตามด้วยความโกรธจัด ทั้งโกรธทั้งผิดหวังในตัวน้องชายสุด ๆ

ชูจิตอ่านเอกสารด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีพิสัยยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ในขณะที่ลาภิณ และปริมยืนอยู่ใกล้ ๆ

“พี่จิตฟังผมก่อนนะครับ อย่าเพิ่งฟังความฝ่ายเดียว โอเคถึงโรงงานผมจะส่งไม้ทำโลงศพทั้งหมดให้บริษัท แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดอะไรนี่ครับ ที่ไหน ๆ เค้าก็ทำกันทั้งนั้น บริษัทในเครือ บริษัทลูก ไม่เห็นแปลก”

“ใช่ ไม่แปลก แต่โรงไม้ของน้าไม่ใช่บริษัทลูกของเรา และไม่มีใครรู้ว่าน้าเป็นเจ้าของกิจการ ทำไมน้าพิสัยถึงต้องปิดเรื่องนี้ด้วยล่ะครับ”

“ก็เพราะน้าไม่อยากให้พวกไม่หวังดีกับครอบครัวเรา เอาไปพูดให้กินแหนงแคลงใจกันน่ะสิ...แล้วมันก็เป็นจริง ๆ อย่างที่น้ากลัว”

“เหรอครับ ผมสืบมาหมดแล้ว ว่าน้าอยู่เบื้องหลังประมูลงาน โรงไม้ของน้าประมูลงานได้ทั้งที่โรงไม้เจ้าอื่นให้ราคาต่ำกว่า”

“คุณภาพไม้มันต่างกัน”

“ใช่ครับ ไม้จากโรงงานของน้าผิดสเปกตลอด ยังดีที่ลูกค้าไม่รู้ ไม่อย่างงั้นเราถูกฟ้องร้องเสียชื่อบริษัทไปนานแล้ว...ผมไม่ได้กล่าวหาลอย ๆ ผมมีหลักฐานยืนยันคำพูดทุกอย่าง”

พิสัยหน้าซีดเผือด เจอต้อนจนมุม ชูจิตสงสารพิสัย เลยช่วยพูดแก้ให้ “เรื่องไม้ไม่ตรงตามสเปกแม่จะจัดการเองแล้วกัน ส่วนเรื่องที่น้าพิสัยเค้าเป็นเจ้าของโรงไม้ แม่รู้อยู่แล้วล่ะ ตอนจะเปิดกิจการพิสัยเค้าก็มาปรึกษากับแม่ตลอด”

พิสัยอึ้งไป นึกไม่ถึงว่าชูจิตจะเข้าข้างตน จริง ๆ ชูจิตไม่รู้อะไรด้วยเลย ลาภิณแอบถอนใจเซ็ง ๆ ที่แม่เข้าข้างน้องชายอีกแล้ว

“ขนาดนี้แล้ว คุณแม่ยังจะเข้าข้างน้องชายอีกเหรอครับ”

“แม่ไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้นล่ะ คิดดูสิต้น ยังไงซะเราก็ต้องสั่งไม้มาทำโลงศพอยู่แล้ว แล้วจะเอาเงินไปให้คนอื่นทำไม สู้อุดหนุนคนกันเองไม่ดีกว่าเหรอจ๊ะ”

“ถ้าคุณแม่เห็นดีด้วยแบบนี้ก็แล้วไป ไปกันเถอะปริม” ลาภิณเดินหัวเสียนำออกไป

“ขอบคุณมากครับพี่จิต”

“เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันต่อนะพิสัย”พิสัยจ๋อยเจื่อนไป หลบสายตาแต่ยังแอบหันไปมองตามลาภิณด้วยสายตาเกลียดชังจับใจ

ปริมไม่พอใจแทนลาภิณ ตอนเดินออกมาจากห้องทำงานชูจิตด้วยกัน อดที่จะถาม
ลาภิณไม่ได้ว่าทำไมชูจิตถึงได้กางปีกปกป้องพิสัย ทั้งที่เห็นหลักฐานทั้งหมดแล้ว ลาภิณบอกให้รู้ว่าชูจิตเลี้ยงพิสัยเหมือนลูก พอตากับยายเสียก็ยิ่งสงสาร ยิ่งตามใจพิสัยมากขึ้น

“จริง ๆ คุณต้นกับน้าพิสัยน่าจะสนิทกันนะคะ อายุก็ไล่เลี่ยกันแถมยังเป็นน้าหลานแท้ ๆ กันอีก ไม่น่าไม่ลงรอยกันแบบนี้เลย”

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 13 พ.ย. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
รากบุญ ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ที่มา เดลินิวส์