@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 2 ธ.ค. 55

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 2 ธ.ค. 55

“ไม่มีใครเข้าใจคนอื่นได้ทุกเรื่องหรอกค่ะ แต่ที่ฉันรู้ คือคุณท่านเป็นแม่คุณ แล้วท่านก็รักคุณมาก”
“แต่ก็ไม่มากไปกว่าน้องชายเค้าหรอก”
“แล้วคุณเคยคิดถึงใจท่านบ้างรึเปล่า นั่นก็น้อง นี่ก็ลูก เป็นคุณก็ต้องลำบากใจเหมือนกันแหละ อย่าเอาแต่อารมณ์หน่อยเลย ลองย้อนนึกถึงตอนวิญญาณคุณออกจากร่างซิ ใครร้องไห้แทบขาดใจจนล้มป่วย ไม่ใช่คุณท่านหรอกเหรอะ” เจติยาจ้องลาภิณแล้วพูดแขวะ “แล้ววิญญาณใครไม่ทราบที่ไปนอนร้องไห้กอดคุณท่านบนเตียง ลืมความรู้สึกวันนั้นแล้วรึไง” เจติยาค้อนใส่
ลาภิณโกรธเพราะโดนแทงใจดำ “เจ น้อยๆหน่อย”
เจติยาเหยียดปากใส่ “รีบไปเถอะค่ะ ถึงมืดจะหาหลักฐานไม่เจอ” เจติยาเดินนำไป
ลาภิณมองตามเจติยาไปแล้วแอบมีสีหน้าจ๋อยไปเหมือนกัน

ลาภิณขับรถพาเจติยาเข้ามาในสวนต่างจังหวัดที่มีกระท่อมหลังเล็กๆหลังหนึ่งปลูกอยู่ ลาภิณจอดรถ แล้วทั้งคู่ก็ก้าวลงไปสำรวจ
“ใช่ที่นี่แน่เหรอ” ลาภิณถาม



เจติยามองไปรอบๆ “ปองกับย้งบอกมาอย่างงี้นะคะ แต่ไม่ได้บอกว่าหลักฐานซ่อนอยู่ตรงไหน”
“งั้นก็แยกย้ายกันหา ผมจะเข้าไปค้นในบ้านเอง” ลาภิณเดินนำเข้าไปในกระท่อม
เจติยาเดินมาทางสวนพร้อมกวาดตามองหา
เจติยาเรียกพร้อมกวาดตามองหา “ปอง ย้ง หลักฐานอยู่ไหน” เจติยากวาดตามองหาไปรอบตัวแต่ก็ไม่เห็นวิญาณของปองกับย้ง
ลาภิณเดินสำรวจรอบๆกระท่อมก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในกระท่อม ลาภิณเข้าไปข้างในก่อนจะมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเครื่องเรือนอะไรซักอย่าง แถมยังไม่มีจุดที่น่าจะซ่อนของอะไรได้ด้วย
ลาภิณมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นอะไรเลย พอหันกลับมาเขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นปราณยืนอยู่มองอยู่พร้อมทั้งสะแหยะยิ้มร้าย

เจติยาเดินเข้ามาในสวนพร้อมกับมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เกิดลมพัดแรงจนต้นไม้เอน ฝุ่นคลุ้งตลบขึ้นจนเจติยาต้องเอามือป้องตาเอาไว้ วิญญาณของปองและย้งปรากฏขึ้นที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเจติยาไม่มากนัก สักพักลมก็สงบลง
“ขุดตรงนี้ แล้วจะเจอเอง” ปองบอก
“อย่าลืมที่รับปากล่ะ” ย้งชี้หน้าเจติยา “คราวนี้เธอไม่รอดแน่” ย้งมีสีหน้าแววตาดุร้าย
แล้ววิญญาณของปองและย้งเลือนหายไป เจติยายิ้มดีใจ เธอหันซ้ายหันขวาก่อนจะวิ่งไปหาจอบหาเสียมมาขุดดินบริเวณนั้น

เจติยาถือกระเป๋าเอกสารที่ห่อไว้ด้วยถุงพลาสติกไว้อย่างดีแต่เลอะคราบดินเดินกลับมาที่กระท่อม พอเดินมาถึงกระท่อมเธอก็เห็นลาภิณยืนหันหลังรออยู่
เจติยาดีใจ “เจอแล้วค่ะ” เจติยาโชว์กระเป๋าให้ดู
ลาภิณหันกลับไปมองเจติยาแล้วส่งยิ้มเย็นๆ ให้คล้ายคนโดนสะกดจิต
ลาภิณมีสายตาและน้ำเสียงแข็งๆ เกร็งๆ “งั้นเราก็รีบกลับกันเถอะ”
ปราณยืนอยู่ข้างหลังลาภิณ แต่เจติยามองไม่เห็น ปราณและลาภิณพูดพร้อมกันและทำท่าทางเหมือนกัน
“ฉันอยากเอาหลักฐานพวกนี้ไปให้ตำรวจเร็วๆ”
เจติยายิ้มรับก่อนจะเดินนำไปที่รถที่จอดอยู่ ลาภิณเดินตัวแข็งตามไป โดยมีปราณตามหลังไปอีกที ทันใดนั้น วิญญาณของปองและย้งก็ปรากฏขึ้นมาขวางหน้าปราณไว้
ปองตะคอก “เอ็งเป็นใครวะ”
ปราณยิ้มเยาะ “หลีกทางไป ไอ้พวกสวะ”
ปราณจ้องไปที่วิญญาณปองและย้ง ทันใดนั้นก็เกิดไฟลุกท่วมวิญญาณของปองและย้งทันที ทั้งคู่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหายตัวไป
เจติยาได้ยินเสียงร้องของปองและ ย้งจึงรีบหันกลับมาดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร
ลาภิณถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ “มีอะไรเหรอ”
“ได้ยินเสียงแว่วๆน่ะค่ะ” เจติยามองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นอะไร “ช่างเถอะค่ะ ฉันอาจจะคิดมากไปเอง”
เจติยาเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งพร้อมกระเป๋าเอกสาร ลาภิณมองเจติยาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม

ลาภิณกำลังขับรถด้วยความเร็วสูง โดยมีเจติยานั่งมาด้วย เข็มวัดความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เจติยาชักกลัว “ขับเร็วเกินไปรึเปล่าคะ เราไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้”
ปราณนั่งอยู่ที่เบาะหลังโดยที่เจติยาไม่เห็น ปราณกับลาภิณพูดพร้อมกันและทำท่าทางเหมือนกันทุกอย่าง
“ถึงเร็วๆไม่ดีรึไง จะได้จัดการไอ้พิสัยให้สิ้นเรื่องสิ้นราวซะที”
“ฉันกลัวจะเกิดอุบัติเหตุซะก่อนน่ะสิคะ” เจติยาบอก
ปราณยิ้มร้าย ลาภิณนั่งตาแข็งเหมือนคนไร้สติและเหยียบคันเร่งจนมิด
เจติยาตกใจมาก “คุณลาภิณ เร็วไปแล้วค่ะ”
ปราณกับลาภิณหัวเราะร้ายๆพร้อมกัน
เจติยาตกใจมาก “หยุดรถเดี๋ยวนี้นะคุณลาภิณ” เจติยาพยายามจะดึงเบรกมือ
ลาภิณผลักเจติยาออกจนเจติยาเซไปทำให้หัวกระแทกกระจกรถอีกฝั่ง
“โอ๊ย”
ลาภิณตาแข็งกร้าว เจติยาตกใจปนกลัว ลาภิณเห็นรถวิ่งสวนอยู่ห่างๆ เขาเร่งความเร็วเข้าไปหาทันทีหมายจะวิ่งชนประสานงา เจติยาตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดๆ เพราะไม่รู้จะแก้ไขยังไง
ทันใดนั้น เจติยาก็ได้ยินเสียงมัจจุราชดังที่ข้างหู
“ตั้งสติให้มั่น เจ้าของกล่องรากบุญ มีอำนาจเหนือกล่องรวมทั้งอำนาจทุกอย่างที่เกิดจากกล่อง”
ปราณตกใจมากจึงตวาดลั่น “แกอีกแล้วเหรอ แกเป็นใครกันแน่”
เจติยาหลับตารวบรวมสมาธิตามที่เสียงลึกลับบอกแล้วเอื้อมมือไปจับตัวลาภิณไว้ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบขึ้นทั่วตัวลาภิณพร้อมกับร่างของปราณถูกเปลวไฟลุกท่วม ปราณร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหายตัวไป ลาภิณสะดุ้งเฮือกแล้วสติก็กลับมาแต่ก็ยังงงๆ เจติยารีบดึงพวงมาลัยหักหลบรถคันนั้นทันที ลาภิณได้สติก็รีบช่วยหักหลบด้วย
ลาภิณแล้วเจติยาหมุนคว้างไปตามแรงเหวี่ยงของรถที่เสียหลักหมุนไปรอบตัว เจติยาหลับตาปี๋แล้วร้องกรี๊ดลั่นรถเหมือนเตรียมตัวเตรียมใจรับความตาย

เวลาผ่านไป ลาภิณขับรถมาจอดหน้าบ้านเจติยา เจติยายังนั่งหน้าซีดๆ เพราะรอดตายมาอย่างหวุดหวิด
ลาภิณหันมองเจติยาด้วยสีหน้าเครียด “ทำไมผมจำอะไรไม่ได้เลย นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”
เจติยาถอนใจ “ฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ รู้แต่ว่ามันไม่ใช่คุณ แต่มีบางอย่างครอบงำคุณอยู่”
“ปองกับย้งเหรอ” ลาภิณถาม
“ไม่ใช่” เจติยาหน้าเครียดไป “มันเป็นวิญญาณผู้ชาย ฉันเคยเห็นเค้าแต่ไม่รู้ว่าเค้าต้องการอะไร แต่ที่แน่ๆ ไม่หวังดีกับฉันแน่นอน”
ลาภิณชำเลืองมองเจติยา “ผมเป็นห่วงคุณมากนะ”
เจติยาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตากับลาภิณ
ลาภิณมองตาเจติยาด้วยสายตาซึ้งใจ “คุณช่วยชีวิตผมไม่รู้กี่ครั้งแล้ววันนี้คุณก็ต้องมาเสี่ยงตายเพราะเรื่องของผมอีก” ลาภิณมองเจติยา “ผมจนปัญญา ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณคุณยังไงแล้ว”
เจติยาเขินจึงหลบสายตา “ฉันก็ทำไปตามหน้าที่..” เจติยาตัดบท “คุณรีบกลับบ้านไปเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณท่านจะเป็นห่วง” เจติยาจะลงจากรถ
ลาภิณจับมือเจติยาเอาไว้
เจติยาอึ้งแล้วหันมองลาภิณ
ลาภิณจับมือเจติยาแล้วจ้องตา “ถ้าไม่มีคุณ ผมคงตายไปนานแล้ว” ลาภิณยิ้มๆ แล้วพูดติดตลก “สงสัยผมต้องพกคุณติดตัวไว้ตลอดเวลาซะแล้วล่ะ”
เจติยาเขินแล้วรีบดึงมือออก “ฉันไม่ใช่มือถือคุณนะ” เจติยาค้อนใส่ “อะไรเข้าสิงอีกก็ไม่รู้”
เจติยารีบลงจากรถแล้วรีบเดินก้มหน้าก้มตาเข้าบ้านไปโดยไม่กล้าหันมองอีก พอเข้าพ้นรั้วบ้านไปได้ เจติยาก็หันกลับมามองลาภิณอีกครั้ง ลาภิณยังคงจับตามองตามเจติยาไม่วางตาพร้อมส่งยิ้มหวานให้ เจติยาทั้งอึ้งทั้งเขิน เธอรีบเดินหนีกลับเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว
ลาภิณยิ้มๆ ก่อนเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเอกสารที่วางไว้กับพื้นหน้าเก้าอี้ข้างคนขับขึ้นมาวางบนเก้าอี้แล้วถอนใจออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ลาภิณเดินถือกระเป๋าเอกสารของทนายปุ่นเข้ามาในโถงบ้าน ชูจิตที่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขกรีบลุกมาหาลูกชายด้วยความเป็นห่วง โดยที่เธอพยายามง้อลูกชาย
ชูจิตมองกระเป๋าเอกสาร “ตกลงใช่เอกสารทนายปุ่นรึเปล่าลูก”
ลาภิณยังคงหน้าบึ้ง “นี่เจคงโทรบอกคุณแม่แล้วสิครับ”
“จ้ะ เจเค้ากลัวว่าแม่จะเป็นห่วง...มีเอกสารอย่างที่เชิดบอกมั้ย”
“มีครับ”
ชูจิตดีใจ “งั้นเดี๋ยวแม่ช่วยเอาไปเก็บในเซฟให้นะ ต้นจะได้ขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อน”
ลาภิณดึงกระเป๋าหนี “อย่าเลยครับ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะจับน้าพิสัยเข้าคุกได้”
ชูจิตเคือง “นี่ต้นไม่ไว้ใจแม่แล้วใช่มั้ย”
ลาภิณไม่ตอบ เขาเดินถือกระเป๋าเอกสารเลี่ยงไปทางห้องทำงาน ชูจิตได้แต่มองตามด้วยความเสียใจที่ลูกยังไม่หายโกรธและยังระแวงตนอยู่

ปราณยืนนิ่งอยู่หน้ารั้วและมองเข้ามาในบ้านของชูจิต พิสัยลงจากรถที่จอดอยู่ข้างรั้วบ้านแล้วเดินมาหาปราณด้วยสีหน้าเจ็บใจ
“มันเก็บหลักฐานเอาไว้ในเซฟ แกรีบเข้าไปเอามันมาทำลายทิ้งซะ” ปราณสั่ง
พิสัยหงุดหงิด “คนในบ้านเต็มไปหมด ฉันจะเข้าไปได้ยังไงล่ะ”
“ฉันช่วยแกได้ แต่แกมีเวลาไม่เกินสิบนาที อย่าพลาดก็แล้วกัน”
“งั้นแกก็จัดการให้ฉันเลยสิ ต้องให้ฉันลงมือเองทำไม”
ปราณหน้าเครียด “วันนี้ฉันเสียพลังไปมาก ช่วยแกได้เท่านี้ล่ะ จำเอาไว้ แกมีเวลาสิบนาทีเท่านั้น”
“ถ้าเกินกว่านั้นจะเกิดอะไรขึ้น” พิสัยอยากรู้
ปราณหน้านิ่งคล้ายกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง “แกรู้เท่าที่ควรรู้ รีบเข้าไปได้แล้ว”
พิสัยชะเง้อมองไปในบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

พิสัยค่อยๆเปิดประตูห้องทำงานลาภิณเข้ามา เขาปิดประตูลงอย่างแผ่วเบาก่อนจะรีบตรงไปที่ตู้เซฟทันที
พิสัยหมุนรหัสตู้เซฟแต่ก็เปิดไม่ออก “เปลี่ยนรหัสใหม่ ร้ายนักนะมึง” พิสัยลองป้อนรหัสใหม่
พิสัยหงุดหงิดที่เปิดเซฟไม่ได้ ทันใดนั้นเซฟก็ถูกป้อนรหัสเองก่อนจะเปิดออกมา
พิสัยยิ้มพอใจ “ก็ไม่ช่วยแต่แรก”
พิสัยรีบหยิบกระเป๋าเอกสารของทนายปุ่นออกมาจากเซฟ แล้วเปิดดูเอกสารข้างในเพื่อเช็คคร่าวๆ ก่อนจะยิ้มเยาะอย่างสะใจ เขาเก็บเอกสารลงกระเป๋าแล้วรีบปิดตู้เซฟตามเดิม
พิสัยลุกขึ้นยืนแล้วกำลังจะเดินไปเปิดประตู ทันใดนั้นชูจิตก็เปิดประตูห้องเข้ามา
ชูจิตตกใจมากเพราะคิดไม่ถึง “พิสัย”
พิสัยตกใจมากเพราะไม่คิดว่าชูจิตจะโผล่เข้ามาเห็นพอดี

ลาภิณสวมชุดนอนเดินออกมาจากห้องน้ำ หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เขาเดินมาหวีผมอยู่ที่หน้ากระจกในใจก็คิดถึงเรื่องแม่อยู่ตลอดเวลา เสียงเจติยาดังขึ้นในความคิดของลาภิณ
“อย่าเอาแต่อารมณ์หน่อยเลย ลองย้อนนึกถึงตอนวิญญาณคุณออกจากร่างซิ ใครร้องไห้แทบขาดใจจนล้มป่วย ไม่ใช่คุณท่านหรอกเหรอะ แล้ววิญญาณใครไม่ทราบที่ไปนอนร้องไห้กอดคุณท่านบนเตียง ลืมความรู้สึกวันนั้นแล้วรึไง” เจติยาค้อนใส่
ลาภิณถอนใจแรงๆ ด้วยความรู้สึกผิด เขาวางหวีลงแล้วเดินออกไปจากห้อง

ชูจิตพยายามจะแย่งกระเป๋าเอกสารจากพิสัยแต่พิสัยไม่ยอมให้
ชูจิตโมโห “คืนให้พี่นะพิสัย”
พิสัยตะคอก “คืนให้โง่เหรอ พี่จะได้เอาผมเข้าคุกน่ะสิ พี่เคยบอกว่าจะไม่เอาเรื่องผมแล้วไง พี่จะกลับคำเหรอ”
ชูจิตโมโห “ถ้าเธอไม่ทำร้ายต้นจนเกือบตาย พี่ก็คงไม่อยากเอาผิดกับเธอหรอก” ชูจิตน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความเจ็บช้ำ “เพื่อเงินตัวเดียว เธอกลับคิดฆ่าหลานแท้ๆ ของตัวเองได้ลงคอ เธอยังเป็นคนอยู่รึเปล่าพิสัย”
พิสัยโมโห “ผมไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่ผมทำเพื่อนิราลัย พี่รู้มั้ย ว่าผมทุ่มเทให้นิราลัยมากขนาดไหน ถ้าไม่มีผม นิราลัยก็ไม่มีทางเติบโตขนาดนี้หรอก แต่พอไอ้ต้นกลับมา พี่ก็ยกนิราลัยให้มัน”
ชูจิตโมโหมากจึงสวนกลับไป “นิราลัยมันไม่ใช่ของพี่ แต่มันเป็นของครอบครัวคุณสารัชเค้า แล้วจะให้พี่ยกให้เธอได้ยังไง พี่พูดเรื่องนี้กับเธอหลายครั้งแล้วนะพิสัย ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจซะที”
พิสัยโมโหมาก “ผมไม่เข้าใจหรอก ตอนแรกไอ้ต้นมันก็ไม่สนใจนิราลัยอยู่แล้ว พี่ให้ทุนมันไปเปิดผับเปิดบาร์อะไรก็ได้ พี่ช่วยผมได้ แต่พี่ไม่ทำ”
ชูจิตไม่อยากฟังแล้วจึงเข้าไปแย่งกระเป๋า “เอาคืนมานะ”
พิสัยผลักชูจิตออกไปอย่างแรงจนชูจิตเซถลาไปกระแทกกับกำแพง ชูจิตเจ็บแต่ยังมีสติจึงรีบโผเข้าไปที่โต๊ะทำงานเพื่อจะกดออดเรียกคน ชูจิตเกือบจะกดกริ่งได้แล้วแต่พิสัยไวกว่าจึงรีบเข้ามากอดตัวชูจิตจากด้านหลังแล้วล็อคเอาไว้
“มอบตัวซะเถอะพิสัย หนักจะได้เป็นเบา” ชูจิตกล่อม
พิสัยล็อคชูจิตแรงขึ้น
ชูจิตร้องด้วยความเจ็บ
พิสัยเจ็บช้ำใจ “ไหนพี่ให้สัญญากับพ่อแม่ว่าจะดูแลผมอย่างดีไงล่ะ เอาเข้าจริง พี่ก็รักแต่ลูกตัวเอง”
ชูจิตโมโหมาก “ก็เธอมันทำตัวเลวเอง อย่ามาโทษคนอื่นหน่อยเลย” พูดจบชูจิตก็ก้มหน้ากัดต้นแขนพิสัยเข้าเต็มๆ
พิสัยร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย”
ชูจิตฉวยโอกาสสะบัดตัวจนหลุดแล้ววิ่งหนีออกจากห้องไปทันที พิสัยรีบวิ่งตามไปด้วยสีหน้าโกรธจัด

ลาภิณเดินมาเคาะประตูห้องนอนชูจิต
“คุณแม่ครับ”
ไม่มีเสียงตอบออกมา
ลาภิณเคาะซ้ำอีก “นอนรึยังครับแม่”

ชูจิตวิ่งหนีออกมาที่โถงบ้าน
เสียงลาภิณดังมาจากชั้นบน “แม่ครับ”
ชูจิตดีใจจะตะโกนเรียกลูกชาย แต่ยังไม่ทันตะโกนได้เต็มเสียงพิสัยก็พุ่งเข้ามาล็อกคอชูจิต แล้วเอามือปิดปากเธอเอาไว้ ลาภิณเดินกลับออกมาแล้วได้ยินเสียงแว่วๆ
“แม่อยู่ข้างล่างเหรอครับ” ลาภิณเดินลงบันไดมา
พิสัยรีบลากชูจิตมาแอบหลังเสา โดยทั้งล็อกคอทั้งปิดปากปิดจมูกชูจิตแน่นจนชูจิตหายใจไม่ออก เธอพยายามดิ้นแต่พิสัยก็ล็อกตัวไว้แน่นเพราะกลัวลาภิณได้ยินเสียง ลาภิณเดินลงมาที่โถงแล้วมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร
ชูจิต พยายามดิ้นสุดแรงก่อนจะใช้เล็บจิกเข้าไปที่ข้อมือของพิสัยจนเลือดออก พิสัยขบกรามแน่นด้วยความเจ็บแม้จะเจ็บมากแต่ก็ไม่กล้าร้อง แถมเขายังล็อกชูจิตแน่นมากขึ้นไปอีกจนชูจิตตาเหลือกเพราะหายใจไม่ออก ลาภิณมองไม่เห็นใครเลยคิดว่าหูแว่ว เขาเดินกลับขึ้นชั้นบนไป
พิสัยแอบมองจนแน่ใจว่าลาภิณกลับขึ้นข้างบนแล้ว แล้วเขาก็เอะใจว่าทำไมชูจิตเงียบจนผิดสังเกต พิสัยค่อยๆคลายแขนที่ล็อกคอชูจิตออก ชูจิตคอพับห้อยลงมาในสภาพดวงตาเบิกโพลง เธอเสียชีวิตเพราะถูกรัดจนขาดอากาศหายใจ
พิสัยเห็นดังนั้นก็ผงะถอยออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดๆ เขาปล่อยให้ศพชูจิตร่วงลงกับพื้น ดวงตาของชูจิตยังจ้องมองมาทางพิสัยอย่างน่าหวาดกลัว พิสัยกลัวจนเหงื่อแตก ตัวสั่น ถึงเขาจะเหี้ยมเกรียม สั่งฆ่าคนมาหลายศพ แต่ก็ไม่คิดว่าจะฆ่าพี่สาวผู้มีพระคุณด้วยมือตัวเองแบบนี้ พิสัยรีบหอบกระเป๋าเอกสาร เตลิดหนีออกไปจากบ้านทันทีปล่อยให้ศพของชูจิตนอนตาเหลือกค้างอยู่ที่มุมโถงบ้าน

ใกล้เช้า เจติยากำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาเขย่าขาเจติยา พร้อมกับส่งเสียงเรียก
“หนูเจ ตื่นเถอะ”
เจติยารู้สึกว่าถูกรบกวนก็นอนกระสับกระส่าย ขยับหน้าเอียงมาทางชูจิตที่มีใบหน้าซีดเผือดรออยู่ข้างๆ
ชูจิตพูดที่ข้างหู “ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
เจติยางัวเงียแล้วค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมามองไปข้างๆ แต่ก็ไม่มีชูจิตแล้ว เจติยาขยับตัวขึ้นนั่งด้วย่ทาทางยังงัวเงีย
“แม่เหรอคะ” เจติยากวาดตามองหาแต่ก็ไม่เห็นใคร
ชูจิตนั่งก้มหน้าหันข้างอยู่ข้างเตียง โดยที่ชูจิตแต่งตัวสวยงามคนละชุดกับชุดที่ตาย เจติยาหันมาเห็นก็ถึงกับสะดุ้งโหยงกระโดดตัวปลิวไปยืนที่พื้น ชูจิตค่อยๆ หันหน้ามองเจติยา
เจติยาเห็นหน้าชัดๆ ก็ตกใจมาก “คุณท่าน”

“ขอโทษทีนะ ที่ต้องมาปลุกเธอ” ชูจิตบอก
เจติยารีบนั่ง “ไม่เป็นไรค่ะ แล้วคุณท่านมีธุระอะไรกับเจเหรอคะ”
“ฉันอยากจะมาขอความช่วยเหลือ” ชูจิตหน้าขรึมลง “ไม่มีใครช่วยฉันได้แล้ว นอกจากเธอ”
เจติยาแปลกใจ “คุณท่านจะให้เจช่วยอะไรคะ”
ชูจิตยื่นมือมาจับมือเจติยาไว้
เจติยาสะดุ้งวูบ “คุณท่านมือเย็นเฉียบเลยนะคะ” เจติยาเริ่มรู้สึกแปลกๆ
ชูจิตมีสีหน้าแววตาอ้อนวอน “ต้นกำลังตกอยู่ในอันตราย หมดฉันไปซักคน ต้นก็ไม่เหลือใครแล้ว เธอต้องช่วยดูแลต้นแทนฉันด้วยนะเจ”
“ทำไมคุณท่านพูดแบบนี้ล่ะคะ พูดเหมือนกับว่า...”
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเจติยาก็ดังขึ้น เจติยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนจะหันมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่เห็นชูจิต เสียงโทรศัพท์มือถือดังเตือนซ้ำ เจติยากดรับสาย
“ฮัลโหล...อ้าว คุณลุง โทรมาแต่เช้าเลย มีอะไรรึเปล่าคะ” เจติยาฟังอีกฝ่ายแล้วก็ตกใจมาก “คุณท่านตายเมื่อไหร่คะลุง”
เจติยาหน้าซีดเผือดเพราะรู้ทันทีว่านั่นคือวิญญาณของชูจิตที่มาหาตน

รถตำรวจจอดอยู่หน้าบ้านของชูจิตในยามเช้า ตำรวจจำนวนหนึ่งคอยเก็บหลักฐานต่างๆ รอบบ้าน เจติยาเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นวัชกับตำรวจกลุ่มหนึ่งกำลังสอบปากคำคนรับใช้อยู่ โดยมีทวีและโอ้เอ้ ยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“พี่เจมาแล้วลุง” โอ้เอ้บอกทวี
เจติยามีสีหน้าร้อนใจพร้อมกับมีน้ำตาคลอ เธอรีบเดินเข้าไปหาทวี และโอ้เอ้ “เกิดอะไรกับคุณท่านคะลุง”
“ลุงได้ยินแว่วๆ ว่าถูกรัดคอจนตายนะ”
เจติยาตกใจมาก เธอยกมือขึ้นปิดปากแล้วก็มีน้ำตารื้น
“โหดมากเลยนะพี่” โอ้เอ้บอก
นวัชเดินเข้ามาหาเจติยา
เจติยาร้อนใจ “รู้ผลชันสูตรรึยังคะพี่หมวด”
“ยังไม่สรุปเลย แต่เท่าที่พี่ตรวจดู พี่คิดว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นในบ้านนะ แต่ร่องรอยไม่ชัดเท่าไหร่ แต่แปลกที่ไม่มีของมีค่าอะไรหาย นอกจากกระเป๋าเอกสารที่คุณลาภิณเอากลับมาเมื่อวาน”
เจติยาอึ้งไป ก่อนจะมีสีหน้าโกรธ “งั้นเจก็พอจะเดาได้แล้วล่ะค่ะว่าเป็นฝีมือใคร” เจติยามีสีหน้าชิงชัง
“พี่ว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยนะเจ รอฟังผลพิสูจน์หลักฐานต่างๆให้ชัดเจนก่อนดีกว่า”
เจติยาได้แต่ถอนใจออกมาก่อนจะมองหาไปรอบๆ “แล้วคุณลาภิณล่ะคะ”
นวัชชะงักไปเล็กน้อยเพราะกำลังอยู่ในช่วงทำใจ
“คุณต้นอยู่ในห้องทำงาน พอตำรวจสอบปากคำเสร็จก็เก็บตัวเงียบเลย” ทวีบอก
“คงยังช็อคไม่หายแหละลุง เพิ่งจะเสียคุณพ่อไปหยกๆ นี่คุณแม่ก็มาเสียไปอีกคน แฟนก็ดันมาทิ้งอีก”
ทวีรีบปราม “ผีเจาะปากมาพูดจริงๆ เลยไอ้เจ้านี่”
นวัชแขวะลอยๆขึ้นมา “สำคัญตรงเลิกกับแฟนนี่ล่ะ กำลังใจไม่เหลือกันพอดี”
เจติยาเหล่มองนวัชเล็กน้อย “เจไปหาคุณลาภิณก่อนนะคะ” เจติยาเดินเลี่ยงไป
นวัชเหล่มองตามก่อนจะถอนใจออกมาแล้วไปทำงานของตนต่อ

ลาภิณนั่งซึมอยู่คนเดียวที่เก้าอี้ทำงาน เขาพิงศีรษะพักไปกับพนักในสภาพตาแดงและเต็มไปด้วยความหดหู่ ทั้งเสียใจและรู้สึกผิดที่ทำเย็นชาและทำร้ายจิตใจแม่ แล้วแม่ก็จากไปโดยที่เขายังไม่ได้ขอโทษแม้แต่น้อย lydrydเจติยาก็มาเคาะประตูห้อง
ลาภิณถามออกไป “ใคร”
“เจเองค่ะ เข้าไปได้มั้ยคะ”
“เข้ามาสิ”
ลาภิณสูดหายใจลึกแล้วนั่งตัวตรง เขาพยายามเก็บอาการเศร้าโศกเอาไว้เพราะไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ เจติยาเปิดประตูห้องเข้ามาด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“ฉันเสียใจด้วยนะคะ นึกไม่ถึงเลย”
ลาภิณพูดหน้านิ่ง “นั่งก่อนสิ กำลังอยากคุยด้วยอยู่พอดี”
เจติยาเดินหน้าซึมมานั่งตรงข้ามลาภิณ
ลาภิณพูดหน้าเศร้า “เธอพูดถูกแล้วล่ะ ฉันเป็นลูกที่ไม่ได้ความ เอาแต่อารมณ์ ทำให้คุณแม่ต้องเสียใจ” ลาภิณเงียบไปแล้วก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย สักพักน้ำตาของเขาก็รื้นขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “กว่าจะสำนึกตัวได้ก็สายเกินไปแล้ว”
เจติยาเข้าใจและเห็นใจ
ลาภิณน้ำตาคลอขึ้นมาเรื่อยๆ เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเจติยา ได้แต่ถามเสียงสั่นเครือ “ตอนนี้คุณแม่อยู่ในห้องรึเปล่า”
เจติยากวาดตามองหาไปรอบๆ ห้อง
“ไม่อยู่ค่ะ แต่ฉันมั่นใจว่าวิญญาณคุณท่านต้องทราบแล้วล่ะว่าคุณรู้สึกยังไง อยากพูดอะไรกับคุณท่าน”
ลาภิณยังก้มหน้านิ่งแล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านควรจะได้ยินจากปากฉันตอนยังมีลมหายใจมากกว่า” ลาภิณพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
เจติยาสงสารลาภิณจับใจ เธออดไม่ได้ที่จะลุกไปหาจับไหล่ลาภิณแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ลาภิณพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เพราะอายเจติยาแต่ก็กลั้นไม่ไหว เขาก้มหน้านิ่งเงียบแต่ตัวยังสั่นสะท้าน
ลาภิณพูดเสียงสั่น “ฉันไม่อยากอ่อนแอให้เธอเห็น”
เจติยาสัมผัสความรู้สึกได้ก็น้ำตาคลอขึ้นมา “ไม่เห็นน่าอายตรงไหนเลย แม่คุณเสียทั้งคนนะคะ ไม่มีน้ำตาซักหยดก็ใจยักษ์ใจมารไปหน่อยแล้วล่ะค่ะ”
ลาภิณก้มหน้านิ่งเงียบ

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 2 ธ.ค. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager