@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 1 วันที่ 24 พ.ย. 55

อ่านละคร ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 1 วันที่ 24 พ.ย. 55

ณ หุบเขาสูงชันในป่าทึบ ในแอ่งของหุบเขา กองทัพขนยาเสพติดของกะเหรี่ยง มาตั้งเต็นท์อำนวยการและเก็บยาเสพติด มีทหารสิบกว่าคนและม้าพื้นเมืองอีกสามตัว เคลื่อนไหวอยู่บริเวณนั้น

ในป่าทึบใกล้หุบเขานั้น ผู้พันฌอน ไท และทหารรับจ้างรวมเป็น 5 คน ค่อยๆเคลื่อนกำลังมาอย่างระมัดระวัง

“นี่เป็นภารกิจสำคัญ ทุกคนจำไว้ว่า เราต้องการจับหัวหน้าของพวกมันเป็นๆ ค่าหัว 4 ล้าน ส่วนยาเสพติดที่จับได้ รัฐบาลจะจ่ายให้ 10 เปอร์เซ็นต์ของราคาที่ขายในท้องตลาด”

นี่คือภารกิจที่ผู้พันฌอนแจ้งแก่ทุกคนที่กำลังมาปฏิบัติการ ทั้งหมดเคลื่อนมาจนถึงจุดที่มองเห็นการเคลื่อนไหวของพวกค้ายาเสพติดบริเวณเต็นท์ ที่นั่นมีคนหนึ่งกำลังเดินสั่งงาน ผู้พันฌอนชี้พลางสั่งการ

“นั่น หัวหน้ามัน...ทำตามแผนที่วางไว้ จ่าเค นายลงไปแล้วลอบเข้าไปวางระเบิดตามจุดสำคัญ หมวดหม่อง นายคุมไปทางด้านโน้น ฉันกับเอี่ยวจะไปทางนี้ พอจ่าเควางระเบิดเสร็จให้กลับมาสมทบกับหมวดหม่อง แล้วฉันจะกดระเบิด เริ่มเข้าชาร์จเลย ไปอย่างเร็วและเงียบที่สุด ส่วนไท นายคอยซุ่มยิง ถ้าเห็นว่าเหตุการณ์ไม่ดีก็ให้เก็บทีละคน...เอาล่ะไปได้”



ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว เคร่งครัด โดยเฉพาะไท เขาซุ่มยิงฝ่ายตรงข้ามที่เล็งปืนข้างหลังจ่าเคที่กำลังวางระเบิด ทำให้จ่าเครอดอย่างหวุดหวิด และยังเก็บพวกมันที่ร้องโวยวายเมื่อเห็นเพื่อนถูกยิงตายไปอีกคน

ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว หัวหน้ามันตะโกนให้คุ้มกันของ เมื่อเริ่มปะทะกัน มันสั่งสู้ตาย!

ไทยังคงทำหน้าที่อย่างใจเย็น จนฝ่ายตรงข้ามพบเป้าหมาย มันสั่งปืนกลยิงมาทางเขา แต่เขาก็หลบได้ทัน ฝ่ายผู้พันฌอนถูกพวกมันยิงตายไป 2 คน เหลือแต่ตัวผู้พัน เอี่ยว และไท ทั้งสามตกอยู่ในวงล้อมของพวกมัน ซ้ำผู้พันยังได้รับบาดเจ็บที่ขา ผู้พันถามว่า “เอายังไงดีไท”

“ยังไงก็ต้องฝ่าออกไปครับ” ไทตอบเด็ดเดี่ยว แต่ไม่ทันขาดคำก็ถูกจรวดอาร์พีจีตกลงมาข้างๆ แรงสะเทือน ทำให้ร่างเขาลอยขึ้นไป ตาพร่า หูมีแต่เสียงวิ้งงงง...ก้องจนเหมือนหัวจะระเบิด

ในภาวะนั้น ไทยังมีสติพยายามเอื้อมมือไปหยิบแหวนคล้องกับสร้อยที่ขาดกระเด็นไปไม่ห่างนัก เขาเอื้อมมือไปจนถึงสายสร้อย...

ooooooo

14 ปีที่แล้ว...

ไท ในวัย 14 นั่งอยู่ในรถบัสโดยสาร ที่คอเขามี สร้อยเส้นนั้นห้อยอยู่ เขากำลังเดินทางกลับบ้านเมื่อปิดภาคเรียน ไทใบหน้าอิ่มเอิบมีความสุขที่จะได้กลับมาพบพ่อกับแม่ พร้อมกับการ์ดอวยพรวันเกิดพ่อ

ที่บ้านพักกรมป่าไม้ แม่ของไทกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเตรียมรับลูกที่กำลังจะมาถึง เทอดพ่อของไทเพิ่งกลับมา เห็นอาหารวางอยู่มากผิดปกติ ถามว่าทำไมวันนี้ทำเยอะจัง และล้วนแต่เป็นของโปรดไททั้งนั้น

“นี่คุณจำไม่ได้หรือว่าโรงเรียนปิดเทอมแล้ว ลูกกลับบ้านวันนี้ไง” แม่ถามยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

“จริงสิ...ตาย ผมนี่แย่จริงๆทำงานจนลืมเลยนะเนี่ย ไม่ได้แล้ว วันนี้ต้องมีเซอร์ไพรส์ให้เจ้าไทซะหน่อย” เทอดหัวเราะอารมณ์ดี แม่บอกให้พ่อไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวลูกมาถึงจะได้ทานข้าวกันเลย

อาบน้ำเสร็จลงมาเทอดได้ยินเสียงโทรศัพท์ เขาเดินไปรับสาย เพียงพูดกันไม่กี่คำ สีหน้าเทอดก็เครียดและซีดจนมือสั่น เมื่อปลายสายพูดทิ้งท้ายก่อนวางสายว่า

“นายไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ...”

เสียงแม่ร้องบอกว่าอาหารเสร็จแล้วเดี๋ยวลูกคงมาถึง เทอดร้องตอบเสียงซึมๆว่า “จ้ะ...งั้นพ่ออยู่ในห้องทำงานนะ”

เทอดไปนั่งโต๊ะทำงานที่ว่างเปล่า เขาหยิบกล่องไม้ใบสวยที่ใส่ปืนไว้ขึ้นมาวางข้างๆ แล้วลงมือเขียนจดหมายสั้นๆ

ครู่เดียว เสียงปืนกัมปนาทขึ้น ฝูงนกบินหนีกันแตกตื่น แม่ที่ล้างจานอยู่ จานตกแตกกระจาย ไทที่นั่งหลับ ในรถสะดุ้งตื่น เพราะรถบรรทุกที่วิ่งสวนมาบีบแตรลั่น

แม่วิ่งออกมาที่ห้องทำงาน เห็นเทอดฟุบจมกองเลือดอยู่คาโต๊ะ!

“พ่อ!!!...” แม่ร้องสุดเสียงก่อนทรุดลง

ooooooo

รุ่งขึ้น ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย แม่กางร่ม ยืนอยู่กับไท มองหลุมศพพ่อที่เขียนป้ายชื่อไว้ว่า “เทอด ธัญธรณี” แม่ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ไทมองหลุมฝังศพพ่อ ใจคิดถึงจดหมายที่พ่อเขียนทิ้งไว้...

“ไทโตแล้ว และคิดว่าลูกเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวที่สมบูรณ์แบบที่สุด พ่อมีความจำเป็นที่ต้องทำสิ่งโง่ๆแบบนี้ พ่ออยากให้ไทปกป้องและคุ้มครองแม่แทนพ่อด้วย ขอให้ไทจงซื่อตรงดุจตะวัน และหนักแน่นดั่งภูผา...ลาก่อน”

ไทวางการ์ดอวยพรวันเกิดพ่อไว้ที่หลุมศพ พึมพำอย่างเจ็บร้าวลึกในใจว่า

“ผมไม่รู้ว่าพ่อทำแบบนี้ทำไม แต่ผมคิดว่าวันหนึ่ง ผมจะต้องรู้ให้ได้” เขาหันไปชวนแม่ “กลับกันเถอะครับ”

สองแม่ลูกเดินกางร่มฝ่าสายฝนออกไปจากสุสาน... เดินไปอย่างสิ้นเนื้อประดาตัว ไร้เป้าหมาย

“เราสองแม่ลูกไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดถูกธนาคารยึดไป และอีกไม่กี่เดือน แม่ก็จากผมไปอีกคน...”

นี่คือชีวิตที่เหลืออยู่ของไท ในวัย 14 ปี...กระนั้น เขายังจดจำคำสั่งเสียของพ่อที่ว่าให้ “ซื่อตรงดุจตะวัน และหนักแน่นดั่งภูผา” เขาบอกกับตัวเองขณะเดินออกจากบ้าน โดยมีเป้อยู่บนหลังเพียงใบเดียวว่า...

“ตอนนี้เหมือนผมเหลือตัวคนเดียวในโลก แต่ก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป...ผมมองไม่เห็นปลายทางว่ามันอยู่ตรงไหน...แต่ก็ต้องก้าวต่อไป สิ่งเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือ ต้องกล้าที่จะมีลมหายใจต่อไป”

ooooooo

เส้นทางชีวิตของไทมาหยุดที่ริมถนน เมื่อเจอน้าอี๊ดเจ้าของอู่มอเตอร์ไซค์กำลังง่วนกับการซ่อมรถปิกอัพอย่างหงุดหงิดอยู่คนเดียว ไทเดินเข้าไปถามว่า รถเป็นอะไร มีอะไรจะให้ช่วยไหม

น้าอี๊ดยินดีมากที่จะได้มีคนมาช่วยหยิบโน่นส่งนี่ให้ หลังจากซ่อมไม่นานรถก็สตาร์ตติด น้าอี๊ดขอบใจ “ไอ้หนู” เมื่อไทขอตัว น้าอี๊ดถามว่าจะไปไหนหรือ

“ไปมันเรื่อยๆครับ ได้งานทำก็หยุด”

“เฮ้ยเดี๋ยว งั้นขึ้นรถมาก่อนสิ” น้าอี๊ดเรียกอย่างใจดี ไทยิ้มด้วยความดีใจ

ระหว่างนั่งรถน้าอี๊ดมานั้น น้าอี๊ดดูหน่วยก้านแล้วบอกว่าท่าทางมีความรู้เรื่องรถดี ไทบอกว่าพ่อสอนมาตั้งแต่เด็ก น้าอี๊ดถามว่า “สนใจจะทำงานกับฉันไหมล่ะ ฉันมีอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ เราทำรถแข่งน่ะ”

น้าอี๊ดบอกว่าจะมีที่พักให้ อาหารสามมื้อแถมแอลกอฮอล์ อีกต่างหาก ถามว่าดื่มไหม สูบบุหรี่หรือเปล่า พอรู้ว่าไททั้งไม่ดื่มและไม่สูบบุหรี่ น้าอี๊ดพูดอย่างพอใจมากว่า

“เออ...ดีจัง...ไม่เปลืองอย่างนี้ค่อยน่าจ้างหน่อย”

น้าอี๊ดดีใจที่จะได้เด็กดีมาทำงาน ส่วนไทดีใจเหมือนลอยคอมาถึงฝั่ง...

ooooooo

เมื่อไปถึงอู่ซ่อมมอเตอร์ไซค์ของน้าอี๊ด ไทตื่นตาตื่นใจรถแข่งคันสวยคันหนึ่ง ถึงกับเข้าไปลูบคลำ น้าอี๊ดถามว่าชอบหรือ ไทบอกว่าชอบ พูดอย่างมุ่งมั่นว่าวันหนึ่งตนต้องขี่คันนี้ให้ได้

จากนั้นน้าอี๊ดพาไทไปแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนร่วมงาน ทุกคนยินดีต้อนรับสมาชิกตัวจิ๋วคนใหม่ น้าบอกไทว่า “ที่นี่อยู่กันอย่างพี่น้อง” ไทยิ้มรับอย่างอบอุ่นใจ

ไททำงานอยู่กับน้าอี๊ดอย่างขยันขันแข็ง เอาการเอางาน ทั้งซ่อมรถ ลองขี่รถ ซ่อมมอเตอร์ไซค์ ทำเครื่อง กระทั่งลองเครื่อง เขาทำงานอย่างเพลิดเพลินจนเวลาผ่านไปไม่รู้ตัว

10 ปีผ่านไปเหมือนแค่ลัดนิ้วมือ วันนี้ไทในวัย 24 อยู่ในวัยฉกรรจ์ มีสติและประสบการณ์มากพอ จนน้าอี๊ดให้ลงแข่งรถ โดยเฮียหมูมาจอดเทียบเดิมพันกัน เฮียหมูปรามาสว่า ได้ข่าวว่าไอ้มืดเด็กของเขารถล้มขาหักไม่ใช่หรือ

“ข้ามีคนขี่คนเดียวที่ไหนละเฮียหมู” น้าอี๊ดสวนไปแล้วผิวปากวี้ดวิ้วอย่างมั่นใจ

เมื่อได้เวลาเปิดตัวนักแข่ง เฮียหมูเห็นไทก็เอ่ยปากชมว่า “หน่วยก้านไม่เลวนี่” ส่วนน้าอี๊ดบอกนักแข่งของตนว่า

“เอาล่ะทุกคน ในเมื่อพร้อมกันแล้ว กติกามีง่ายๆ คือใครถึงเส้นชัยแล้วคว้าไฟแช็กมาจุดได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ”

“เดิมพันครั้งนี้แสนนึง กับรถด้วย ใครชนะกินรถไปเลย” เฮียหมูเสนอเดิมพันอย่างฮึกเหิม ขาโจ๋เฮกันลั่น

การแข่งขันดำเนินไปอย่างมืออาชีพ ทั้งดุเดือด หวาดเสียว โฉบเฉี่ยว และสวยงามอย่างยิ่ง ผลัดกันนำผลัดกันตาม เป็นที่เร้าใจตื่นเต้น แต่ในที่สุด ไทก็สามารถคว้าไฟแช็กขึ้นจุดได้ เฮียหมูหน้าเหลือสองนิ้ว น้าอี๊ดเดินเข้ามาบอกว่า

“ถือว่าวันนี้เฮียหมูโชคไม่ดีก็แล้วกัน เอาเงินกับกุญแจรถมาตามสัญญา”

“เอ้า...เงิน...แต่รถฉันคงให้ไม่ได้...ถือซะว่าเมื่อกี้ฉันพูดเล่นก็แล้วกัน” เฮียหมูพูดหน้าด้านๆ ครั้นลูกน้องของน้าอี๊ดเดินเข้ามาประท้วงว่าแบบนี้มันโกงกันนี่หว่า ก็ถูกลูกน้องเฮียหมูพุ่งเข้าชาร์จทันที เกิดการตะลุมบอนกันขึ้นโดยอัตโนมัติ!

ทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกันด้วยหมัดเท้าเข่าศอกและประแจเลื่อน แต่เฮียหมูควักปืนออกมาจากเอวจะยิงน้าอี๊ด ไทเห็นจึงพุ่งเข้าแย่งปืน ระหว่างยื้อแย่งกันมีเสียงปืนลั่นขึ้นนัดหนึ่ง เฮียหมูตายคาที่ ไทตะลึงงัน ทุกคนคิดว่าไทเป็นคนยิง น้าอี๊ดเอาปืนจากมือไทยิงขึ้นฟ้า เมื่อทุกคนแตกฮือกันไปแล้ว น้าอี๊ดบอกไท “หนีไปซะไท!... เอารถคันนั้นไป”

“แล้วทางนี้ล่ะน้า” ไทเป็นห่วง แต่เห็นสีหน้าของน้าอี๊ดแล้วเขาตัดสินใจขึ้นรถขี่ออกไป

ooooooo

ไทขี่รถไปจอดที่หน้าผาแห่งหนึ่ง เขามองแม่น้ำที่อยู่ไกลๆคิดถึงคำพูดของพ่อ...

“จริงอย่างที่พ่อบอก ชีวิตของผมมันเริ่มต้นได้ใหม่เรื่อย แต่ก็หาจุดหมายปลายทางไม่เจอ...มีงานก็มีเงิน มีเงินก็มีชีวิตอยู่ได้ แม่ผมสอนอย่างนั้นเสมอ ผมทำงานสารพัด ไม่เคยเลือกงาน แต่เลือกที่จะมีชีวิต...”

ไทเดินทางตะลอนไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ รับจ้างทำงานทุกอย่างที่จะทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ทั้งขับรถบรรทุกคอนเทนเนอร์ เชื่อมโลหะในโรงงานเล็กๆ ซ่อมรถบรรทุก ทำงานเหงื่อไหลไคลย้อย เนื้อตัวมอมแมม แต่เขาก็ยิ้มสู้กับชีวิตต่อไป...และ...ต่อไป...

ไทขี่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพไปอย่างไร้เป้าหมาย คิดถึง คำพูดของน้าอี๊ดก่อนจากมา กับความจริงที่ผ่านมาในชีวิตว่า...

“คำว่าหนีของน้าอี๊ด ผมรู้ว่ามันไกลแค่ไหน แต่สำหรับผมมันไม่มีระยะทาง คำคำนี้พาผมไปเจอกับอะไรหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย และสิ่งต่างๆเหล่านี้ มันหล่อหลอมชีวิตผมให้รู้จักคำว่า ลูกผู้ชาย”

เขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง...เข้าเขตเมือง...

ooooooo

2 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่มันคือความจริงที่ปีนี้ ไท ธัญธรณี เข้าสู่วัย 26 ปีแล้ว...

ในวัย 26 ปีนี้ เขาก้าวเข้าสู่อีกวงการหนึ่ง นั่นคือเป็นนักโดดร่ม เขาอยู่ในทีมเดียวกับเอี่ยว ที่วันนี้ต้องแสดงหมายทำลายสถิติโลกลงกินเนสบุ๊กประเภทท่าทางและจับกลุ่มกันมากที่สุดจะสร้างวงกลมซ้อนกันถึงสี่วง ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน

การโดดชุดแรก ชุดที่สองผ่านไปด้วยดี ถึงชุดที่สามทำท่าจะผ่านไปดีแต่มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อนักโดดร่มคนหนึ่งซึ่งก็คือเอี่ยวนั่นเอง ร่มพันกำลังดิ่งลงพื้นอย่างน่ากลัว!

ไทตัดสินใจพุ่งตัวเข้าไปหาเอี่ยวอย่างกล้าตาย เขาพยายามอยู่หลายครั้งจนคว้าได้สำเร็จ เอามีดตัดสายร่มที่ พันออกแล้วกระตุกร่มสำรองของเอี่ยวให้กาง พริบตานั้นเอี่ยวถูกดึงตัวขึ้นไป ไทถอนใจโล่งอก ในที่สุดทุกคนก็ลงมาข้างล่างได้อย่างปลอดภัยท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของคนดู และสุดท้ายคือเสียงปรบมือให้เกียรติและขอบคุณไทกึกก้องไปทั่วบริเวณ

“เยี่ยมมากไท” หัวหน้าชม

แต่ห่างออกไป ชายลึกลับคนหนึ่ง จับตาดูไทอยู่ด้วยตาขวาเพียงข้างเดียว เขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด!

หลังจากนั้น ไทกับเอี่ยวพากันไปกินอาหาร เข้าร้านอาหารตามสั่ง เจ้าของร้านที่นั่งทอดหุ่ยอยู่ตะโกนบอกปลายฟ้าว่ามีลูกค้าเข้า ปลายฟ้าในชุดนักศึกษาเดินหน้าบอกบุญไม่รับมาถามเสียงมะนาวไม่มีน้ำว่า “จะรับอะไรคะ”

“ปลารากกล้วยทอดกระเทียม, แกงเขียวหวานผัดแห้ง, น้ำพริกมะขาม, ทอดมันปลากราย, ยำก้านคะน้าใส่ไข่ต้ม, ผัดพริกแกงหมูป่า, ต้มยำ” เอี่ยวสั่งข้าวเปล่า ไทสั่งเพิ่ม “ขอน้ำส้มคั้นกับน้ำเปล่าด้วย”

ปลายฟ้าแค่นยิ้มถามเสียงเขียว “นี่คุณ จะสั่งอะไรให้มันยากนักหนา ฉันมีธุระจะรีบไป สั่งพวกที่ทำง่ายๆแบบแซนด์วิชไม่ดีหรือ กินอิ่มเหมือนกัน”

ไทตกลงตามที่ปลายฟ้าบอก พอปลายฟ้าสะบัดไป เขาพึมพำขำๆ “แบบนี้ก็มีด้วยแฮะ”

เอี่ยวมองหน้าไทอย่างพินิจพิจารณา ถามว่าเขาเป็นนักล่าเหมือนกันหรือ ไทบอกว่าตนก็แค่หาเลี้ยงปากท้อง เอี่ยวชวนไปลองที่สนามยิงปืนไหม ไทพยักหน้าอย่างสนใจ ก็พอดีปลายฟ้าเอาแซนด์วิชมาเสิร์ฟ แล้วไปบอกเจ้าของร้าน

“หนูไปสอบก่อนนะคะ” แล้วเธอก็วิ่งออกไปทั้งชุดกันเปื้อนเลย ส่วนไทกับเอี่ยวก็นั่งกินแซนด์วิชกันฝืดๆ

ooooooo

ที่มหาวิทยาลัยดนตรี...

วันนี้เป็นวันสอบ แป้งเพื่อนร่วมห้องพักของปลายฟ้ากำลังสอบไวโอลิน ส่วนปลายฟ้าเพิ่งจะแบกเชลโล่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา เธอรีบจนชนคนบ้างชนของบ้าง จะรีบไปให้ทันเวลาสอบ
แป้งสอบเสร็จจึงรู้ว่าปลายฟ้ายังมาไม่ถึง เธอเป็นห่วงเพื่อนเพราะอาจารย์แหม่มเป็นคนเคร่งครัดต่อเวลา เมื่อถึงเวลาปลายฟ้ายังไม่มาจึงข้ามไปเรียกคนอื่นมาสอบแทน

ปลายฟ้าวิ่งมาถึงพอดี เธอรีบเข้ารายงานตัว ต้องอ้อนวอนอาจารย์แหม่มอยู่พักหนึ่งจึงยอมให้สอบ เห็นเธอคาดผ้ากันเปื้อนที่มีชื่อร้านมาด้วย อาจารย์ถามว่าเธอทำงานร้านนี้หรือ พอปลายฟ้ารับว่าใช่ ตนทำพาร์ทไทม์ อาจารย์ก็ตำหนิทันที

“บอกเขาด้วยนะว่าพาสต้าเขาน่ะรสชาติห่วยมาก ไปประจำที่ เออ...ถอดผ้ากันเปื้อนออกด้วย”

ปลายฟ้าดีใจมากรีบเข้าประจำที่ บรรเลงเชลโล่อย่างอ่อนหวานจนอาจารย์เคลิ้ม พลันอาจารย์ก็สะดุ้งจากภวังค์เมื่อสายเชลโล่ขาดผึงไปสายหนึ่ง! ปลายฟ้าได้แต่ยิ้มแห้งๆ...แห้งไปถึงหัวใจเลยทีเดียว...

เธอบ่นกับแป้งขณะเดินมาด้วยกันว่า “ซวยเป็นบ้า จะจบเพลงอยู่แล้วเชียว สายดันมาขาดซะนี่ สงสัยคงไม่ได้ทุนไปเรียนที่ออสเตรียแน่เลย”

แป้งถามว่าทำไมไม่เตรียมให้พร้อม น่าจะเปลี่ยนสายเสียก่อน ปลายฟ้าบอกเพื่อนเซ็งๆว่าตอนนี้ตนมีเงินเหลืออยู่แค่ 5 บาทเท่านั้น เงินเดือนก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง คิดจะเปลี่ยนงานใหม่ แต่ยังไม่รู้จะทำอะไรดี ชวนแป้งลองไปผจญภัยกันดีไหม เพราะรู้สึกเมืองนี้เริ่มแคบแล้วล่ะ

สองสาวตกลงกันว่าอยู่หอพักให้ครบเดือนแล้วลุยกันเลย ปลายฟ้านึกได้ว่าตนเห็นประกาศรับนางแบบถ่ายโฆษณาสินค้าที่บอร์ดชวนไปกันไหม แป้งไม่กล้า เธอเลยขอให้ไปเป็นเพื่อน บอกว่าลองขำๆดูเผื่อดัง แป้งขอเป็นพรุ่งนี้ แล้วแยกไปส่งงานอาจารย์ก่อน ปลายฟ้าจึงเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย

ooooooo

ไทไปซ้อมยิงปืนที่สนามแข่ง เขาใช้ปืนกระบอกของพ่อมาซ้อม ถือปืนของพ่อแล้วก็นึกถึงอดีต...

เวลานั้นไทเพิ่งอายุ 14 พ่อสอนให้เขายิงปืน สอนตั้งแต่การตรวจปืนก่อนยิง สอนวิธียิงให้แม่นยำ ตั้งแต่ท่ายืนจนกระทั่งการเหนี่ยวไก ปรากฏว่าไททำได้ตามที่พ่อสอน จนพ่อชมว่า

“แม่นเหมือนกันนี่ไอ้เสือ...จำได้แล้วใช่ไหม การใช้ปืนมันไม่ใช่แค่เล็งแล้วยิงให้ถูกเป้านะ มันต้องมีสมาธิ ที่สำคัญเราต้องมีคุณธรรมในการใช้ เพราะปืนสามารถนำไปทำได้ทั้งความดีและความชั่ว จำไว้นะลูก”

ไทซ้อมยิงอย่างแม่นยำ จนสามนัดสุดท้ายเขายิงเข้าเป้าทั้งหมด พลันก็ได้ยินเสียงชมจากข้างหลัง

“ฝีมือไม่เลวนี่พ่อหนุ่ม ปืนก็สวย มาแข่งกับเขาหรือ”

“ครับ” ไทตอบสั้นๆ เมื่อซ้อมเสร็จเขาขอตัว

เขาคือผู้พันฌอน ท่าทางน่าเกรงขาม ตาซ้ายบอดมีสายคาดหนังสีดำคาดไว้ เขามองตามไทไปอย่างชื่นชมก่อนเดินจากไป

ooooooo

แยกจากแป้งแล้ว ปลายฟ้าเดินทอดน่องไปเรื่อย จนถึงร้านขายมอเตอร์ไซค์จากต่างประเทศ มีรถเวสป้าติดไซด์คาร์คันหนึ่งติดป้ายขายไว้ ปลายฟ้าเดินไปดูอย่างสบายใจ มีความสุขที่ได้เห็นมัน

ไทมาจากหลังร้านถามว่าชอบมันหรือ เธอหันมอง จำได้ว่าคือคนที่มาสั่งอาหารยาวเหยียดแต่สุดท้ายได้กินแซนด์วิชชิ้นเดียว เห็นเขาทักอย่างสุภาพเธอเลยคุยด้วย

“นายนั่นเอง...ชอบสิ ฉันมาดูมันทุกวันเลย” แล้วเธอก็บรรยายอย่างมีความสุขว่า “ฉันอยากได้ ที่มาดูทุกวันเนี่ยมาดูว่ามันยังอยู่รึเปล่า ฉันกำลังเก็บเงินซื้อมันอยู่” เธออวดว่าเอาชื่อนักเชลโล่ไอดอลของตนมาตั้งให้มันด้วย

ทั้งสองเริ่มคุยกันอย่างถูกคอ ปลายฟ้าเล่าถึงความเซ็งเมื่อเช้าที่ขณะสอบสายเชลโล่เกิดขาดเสียก่อน แต่ก็ไม่เป็นไรปีหน้ายังมี เธอหันไปดูรถของไทแต่ไม่เห็น ถามว่ารถเขาไปไหนแล้วล่ะ ไทบอกว่าจอดให้เขาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกว่าจะเสร็จคงเป็นวัน เลยไม่รู้จะไปไหน ปลายฟ้าชำเลืองเขา แววตาเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที

“ถ้านายเลี้ยงข้าวฉันนะ ฉันจะพานายไปเที่ยวให้ทั่วเลย เอาป่ะ...”

ไทบอกว่าตนมาธุระไม่ได้มาเที่ยว เธอตื๊อว่าก็ตอนนี้ว่างไม่ได้ทำอะไร แล้วเร่งเร้าไปกันเถอะอย่าปล่อยเวลาให้สูญเปล่า “นี่นายรู้ไหมว่าถ้านายฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเวลาจะย้อนกลับมาฆ่านาย จริงๆนะ”

ไทหัวเราะขำๆถามว่าตกลงเธอเรียนดนตรีหรือเรียนปรัชญากันแน่ เขาตกลงให้เธอพาเที่ยว พูดกลั้วหัวเราะว่ายอมไปไม่ใช่เพราะอยากเที่ยวแต่เพราะกลัวถูกเวลาฆ่า

“นั่น...มันต้องอย่างนั้น งั้นไปเลี้ยงข้าวฉันก่อนก็แล้วกัน ฉันหิวมากเลย ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย” พอไทพยักหน้าเธอเร่ง “ไปเลย ฉันรู้จักร้านอาหารอยู่ที่นึงนะ ไม่แพงด้วย...นี่ช่วยถือหน่อยสิ” พูดแล้วส่งเชลโล่ให้เขาถือแทน

หลังจากทานอาหารแล้ว ทั้งสองไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆกันอย่างเพลิดเพลิน สนุกสนาน ทั้งนั่งรถไฟ ล่องเรือชมวิว ถ่ายรูปด้วยกันที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว จนกระทั่งมายืนดูพระอาทิตย์ตกกัน เธอบอกเขาว่า นอกจากเจ้าบ๊อบบี้แล้ว เวลาเหงาตนก็จะมาดูพระอาทิตย์ที่นี่

ดูพระอาทิตย์ตกกันเงียบๆ แล้วปลายฟ้าก็ถามขึ้นว่าเขาจะกลับเมื่อไหร่ ไทบอกว่ายังไม่รู้เพราะพรุ่งนี้มีธุระต้องทำที่นี่ เธอพูดเปรยๆว่า “นายน่าจะอยู่ต่อนานๆนะ” พอเขาถามว่าทำไม เธอก็ยิ้มเขินปฏิเสธ “เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก”

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น ปลายฟ้าเอาใบสมัครนางแบบขึ้นปกนิตยสารมาให้แป้งดู ถามว่าไม่เปลี่ยนใจนะ แป้งยืนยันไม่เอา ไม่กล้า เธอจึงขอให้ไปเป็นเพื่อน

ระหว่างที่ปลายฟ้ากับแป้งไปนั่งรออยู่ที่รับรองในสำนักงาน ครู่เดียวเจ้าของงานเดินบ่นออกมากับช่างภาพว่านางแบบหายไปไหนหมด ตนจะเอาหน้าไปเจอเจ้าของสินค้าได้ยังไง ช่างภาพปลอบให้ใจเย็นๆ

เมื่อเดินมาที่ด้านหน้า เจ้าของถามพนักงานว่าสองคนนี้มาทำอะไร มารอสมัครสัมภาษณ์เป็นแม่บ้านหรือ

“มาสมัครเป็นนางแบบถ่ายปกค่ะ” ปลายฟ้ารีบบอก ยิ้มอย่างเอาใจ เขาบอกให้เธอยืนขึ้น พอปลายฟ้ายืน เขามองกวาดลงมาหยุดที่หน้าอก แล้วหันไปมองแป้ง บอกว่าเอาคนนี้ แล้วบอกแป้งให้ตามตนไป

แป้งชี้แจงว่าตนมาเป็นเพื่อนเพื่อนเท่านั้น เจ้าของบ่นว่าน่าเสียดาย ถ้าต้องชวดเงินไป 5 พันบาท ได้ยินว่าได้เงิน 5 พันบาท แป้งก็ตาโต พอเจ้าของถามว่าสนใจไหมล่ะ ถ้าสนใจก็เดินตามมา

เงิน 5 พันบาททำเอาแป้งเดินตามเขาไปเหมือนต้องมนต์ เมื่อเข้าไปข้างในจึงรู้ว่าต้องถ่ายโฆษณาชุดชั้นใน แต่เหมือนตกกระไดพลอยโจน แป้งยิ้มเจื่อนๆพยักหน้าเขินๆ

ถ่ายแบบเสร็จ รับเงินมา 5 พันบาท แป้งจะพาปลายฟ้าไปกินปลาคังที่เธอชอบ สองสาวรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่พอเปิดประตูออกมา ก็หน้าเจื่อน เมื่อเจอเจ้าของห้องเช่ามายืนทวงค่าเช่าอยู่ แม้จะพูดดี ยิ้มแย้ม แต่เหมือนเพชฌฆาตเลือดเย็น พูดนิ่มๆว่า “อย่าให้พี่ต้องล็อกห้องเลยนะ”

แป้งเลยจำต้องจ่ายค่าห้องไป ที่กะจะไปกินปลาคังกันก็เลยชวด ต้องไปนั่งกินขนมจีนแทน แต่ก็ปลอบใจกันว่า ยังไงก็ยังดีกว่ากินบะหมี่ที่ห้อง แต่ปลายฟ้าก็บอกแป้งว่า “เดี๋ยวเงินเดือนฉันออกฉันจะเอาส่วนของฉันมาคืนแกนะ”

ooooooo

ที่สนามยิงปืน วันนี้เป็นการแข่งขันยิงปืนประเภทรณยุทธรอบชิงชนะเลิศ เหลือระดับหัวกะทิสองคนเท่านั้นคือ ไทและพันโทฌอนเมล์น รางวัลชนะเลิศได้หนึ่งแสนบาทพร้อมถ้วยเกียรติยศ รองชนะเลิศได้ห้าหมื่นบาทพร้อมถ้วยเกียรติยศเช่นกัน

ผลการแข่งขัน ทั้งสองทำเวลาได้เท่ากัน แต่ไทแพ้พันโทฌอนไปแค่แต้มเดียว

ไทรับเงินรางวัลและถ้วยเกียรติยศแล้วเอามาวางไว้ที่โต๊ะ อึดใจเดียวเขาก็สะพายเป้เดินออกไป พันโทฌอนร้องบอกว่าเขาลืมของ ไทบอกว่าตนมาแข่งเพราะอยากได้เงิน เพราะถ้วยกินไม่ได้

“นายอยู่ที่ไหน...ทำงานอะไร” พันโทฌอนถามอย่างสนใจแกมชื่นชม เมื่อไทบอกว่าตนไม่มีหลักแหล่ง พอใจที่ไหนก็หางานทำ ผู้พันถามทันที “อยากทำงานกับฉันไหมล่ะ” ไทมองหน้าผู้พันเชิงตอบตกลง

จากนั้น ไทก็ต้องเข้าโรงยิมฯ และสนามยิงปืน ฝึกอย่างจริงจัง ระหว่างนั้นผู้พันฌอนเล่าว่า

“ฉันทำงานนอกราชการ รับจ้างรบ ถ้านายสนใจก็เชิญ ฉันอยากได้คนอย่างนายมาร่วมทีม ค่าตอบแทนคุ้มค่า แต่ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีเหรียญกล้าหาญ ไม่มีเกียรติ ตายไปจะไม่มีใครจดจำ นายโอเคไหม สิ่งแรกที่นายต้องทำคือความพร้อม”

ต่อมา ไทได้รู้จักกับเอี่ยวในห้องปฏิบัติการ เอี่ยวทักอย่างคุ้นเคยว่า “ฉันนึกแล้วว่านายต้องมาจบที่นี่ ผู้พันต้องเลือกนายแหงๆ”

“ฉันไม่ได้มาจบที่นี่ แต่ฉันมาเริ่มต้นต่างหาก แล้วนายล่ะ มาจบหรือมาเริ่มต้น”

อ่านละคร ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 1 วันที่ 24 พ.ย. 55

ละครเรื่อง ดุจตะวันดั่งภูผา บทประพันธ์ / บทโทรทัศน์ : ภูมิแผ่นดิน
ละครเรื่อง ดุจตะวันดั่งภูผา กำกับการแสดง : เฉิด ภักดีวิจิตร
ละครเรื่อง ดุจตะวันดั่งภูผา แนวละคร : แอ็คชั่น โรแมนติก ดราม่า
ละครเรื่อง ดุจตะวันดั่งภูผา ดำเนินงานสร้าง : อาหลอง จูเนียร์
ละครเรื่อง ดุจตะวันดั่งภูผา ดูแลงานสร้าง : บุญจิรา ตรีติยะ
ละครเรื่อง ดุจตะวันดั่งภูผา ออกอากาศ : พุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทาง ช่อง 7 สี
ที่มา ไทยรัฐ