@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 29 พ.ย. 55

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 29 พ.ย. 55

นิษฐาชำเลืองมองนวัชด้วยความสงสารและเห็นใจมาก
เจติยาอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ก็ตัดใจพูด “ขอบคุณนะคะพี่หมวด แต่เจนับถือพี่หมวดอย่างพี่ชาย มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอกค่ะ”
นวัชและนิษฐาเหวอไปเพราะไม่คิดว่าเจติยาจะพูดเคลียร์ชัดขนาดนี้
“พี่หมวดอย่ามาเสียเวลากับเจอีกเลย” เจติยาเดินเลี่ยงออกไปจากร้าน

นวัชนิ่งสนิทและกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ
นิษฐาพึมพำ “เพื่อนใจร้าย” นิษฐาหันไปมองนวัชด้วยความสงสารและพูดอะไรไม่ออก แต่เธอก็อยากแก้บรรยากาศ เลยฝืนยิ้มแล้วปล่อยมุกหวังผลไป “กาแฟเย็นหมดก็ยังมีชาเย็นอยู่นะคะ”
นวัชหันมาจ้องหน้านิษฐา

“อร่อยไม่แพ้กัน” นิษฐาฉีกยิ้มหวานให้
นวัชพูดหน้านิ่ง “กลับกันเถอะ”
นิษฐายิ้มแห้งไปทันที
นวัชลุกเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ นิษฐาเหยียดปากใส่ด้วยใบหน้าเซ็งเพราะหมดอารมณ์ ก่อนจะหยิบเค้กก้อนโตที่อยู่กลางโต๊ะยัดใส่ปาก


พิสัยกำลังจัดดอกไม้ใส่แจกัน โดยมีชูจิตกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลด้วยท่าทีเซื่องซึมเพราะทุกข์ใจเรื่องลาภิณจนไม่มีกะใจทำอะไร
พิสัยปั้นยิ้ม “อยู่โรงพยาบาลนานๆ จะซึมเศร้าได้นะครับพี่จิต ถ้าพี่จิตไม่เป็นอะไรแล้ว ผมว่ากลับไปอยู่บ้านเราดีกว่านะครับ”
ชูจิตส่ายหน้า “พี่อยากอยู่ใกล้ต้นมากกว่า ถ้าต้นไม่หาย พี่ไม่อยากไปไหนทั้งนั้นล่ะ”
วิญญาณของลาภิณยืนมองชูจิตอย่างซึมๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาตนเอาแต่น้อยใจว่าแม่เข้าข้างพิสัยตลอด เขาเพิ่งจะรู้ใจว่าแม่รักเขามากก็ตอนนี้เอง
พิสัยยิ้มเอาใจ “ถ้าพี่จิตสบายใจแบบนี้ ผมก็ไม่ขัดใจหรอกครับ” พิสัยมีสีหน้าเจ้าเล่ห์เล็กน้อย “แต่ช่วงนี้คงมีคนมาเยี่ยมพี่จิตหลายคน พี่คงไม่เหงาเท่าไหร่”
ลาภิณจับตามองพิสัยอย่างสงสัยว่าเขาจะมาไม้ไหน
“ก็มีมาไม่กี่คนหรอก มีแต่หนูเจนั่นแหละที่มาประจำ” ชูจิตบอก
พิสัยชะงักไปก่อนจะฝืนยิ้ม “ก็ดีครับ เจช่างคุย คงเป็นเพื่อนคุยที่ดีให้พี่ได้” พิสัยถามหยั่งเชิง “นี่คงเอาเรื่องที่บริษัทมาเล่าให้ฟังสิครับ”
ลาภิณขำๆ อย่างรู้ทัน “ถามอ้อมไปมา กลัวเจจะมาฟ้องเรื่องเมื่อคืนล่ะสิ”
“เจเค้าไม่พูดเรื่องที่ทำให้พี่ไม่สบายใจหรอก เค้าคอยปลอบใจพี่มากกว่า” ชูจิตบอก
พิสัยยิ้มโล่งอกเพราะเท่ากับว่าเจติยายังไม่ได้ฟ้องอะไร “เอ่อ แล้วคุณปริมล่ะครับ มาเยี่ยมเอาใจพี่วันละกี่ครั้งครับเนี่ย” พิสัยทำเป็นขำๆเอ็นดู
ชูจิตหงุดหงิด “รายนั้นน่ะเหรอะ ไม่มาก็ดีแล้วล่ะ มาก็สร้างความรำคาญให้มากกว่า”
พิสัยหน้านิ่งไปอย่างเก็บข้อมูล
“เห็นมาสติแตกวันที่ต้นโดนยิงวันเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เคยโผล่มาอีกเลย ช่างเหอะ พี่ก็ไม่ได้หวังอะไรกับเค้าอยู่แล้ว”
พิสัยหน้าเครียดเพราะไม่พอใจที่ปริมไม่มาหาชูจิต เขาเบือนหน้าไปทางวิญญาณลาภิณแต่มองไม่เห็น พิสัยแอบบ่นพึมพำ
“ไม่ได้เรื่อง”
ลาภิณเห็นและได้ยินชัดเจน เขาก็จ้องหน้าพิสัยจนเห็นว่าสีหน้ามีพิรุธเลยชักเอะใจ

เวลาผ่านไป พิสัยกำลังยืนกดกริ่งหน้าห้องพักของปริม วิญญาณลาภิณยืนมองพิสัยเขม็งอยู่ทางด้านหลังด้วยสีหน้าเป็นห่วงปริม ปริมเปิดประตูห้อง พอเห็นว่าเป็นพิสัยก็ชักสีหน้าเซ็ง
ปริมเซ็ง “มาทำไม”
พิสัยหงุดหงิด “ก็มาลากตัวเธอไปหาพี่จิตน่ะสิ เวลาแบบนี้แทนที่จะรีบทำคะแนน กลับมาหมกตัวอยู่แต่ในห้อง”
ปริมเดินกลับเข้าข้างในด้วยความหงุดหงิด พิสัยเดินตามไปพร้อมกับปิดประตูใส่ลาภิณที่กำลังเดินตามเข้ามา ลาภิณเลยเดินทะลุผ่านประตูเข้ามาแทน
ปริมหงุดหงิด “คุณต้นนอนพะงาบๆ จะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่แล้ว ยังจะให้ฉันไปดูให้ช้ำใจตายก่อนรึไง ฉันรับไม่ได้หรอก”
วิญญาณลาภิณอ้อมมามองหน้าปริมด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจ
พิสัยโมโหจึงกระชากข้อมือปริม “จะได้หรือไม่ได้ ก็ต้องไป”
ลาภิณเห็นพิสัยเล่นงานปริมก็โมโห “ปล่อยมือปริมเดี๋ยวนี้นะ”
พิสัยไม่ได้ยินจึงพูดใส่ปริมเป็นชุด “ถ้าไอ้ต้นเป็นอะไรขึ้นมา พี่จิตก็ยิ่งเคว้ง ถ้าเธอไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ เกิดพี่จิตบ้าจี้ยกหุ้นนิราลัย ให้เด็กนั่นอีกคนจะว่ายังไง”
ปริมโมโหมาก “จะยกให้ใครก็ยกไปซิ ฉันไม่สนหรอก” ปริมกระชากมือออก
พิสัยตะคอก “แต่ฉันสน แล้วก็มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยฉันได้ โอเค ถึงพี่จิต จะไม่เอาเรื่องที่ฉันจับตัวเค้าไป แต่เค้าก็ไม่ได้ พิศวาสฉันเหมือนเดิมแล้ว”
ลาภิณอึ้งไปแล้วเริ่มลำดับเรื่องราวที่ได้ยิน
ลาภิณมีสีหน้าไม่พอใจ “นึกแล้วไม่มีผิด” ลาภิณมีสีหน้าชิงชัง
ปริมหัวเราะเยาะตัวเอง “เค้าก็ไม่ได้พิศวาสฉันมากไปกว่าคุณนักหรอก ฉันสวมเขาให้ลูกชายเค้า ยังคิดว่าฉันจะเข้าหน้าเค้าได้ อีกเหรอ”
ลาภิณช็อกกว่าเดิม เขาหันไปมองปริมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
พิสัยพูดแบบปัดๆ “พี่จิตอาจจะไม่รู้ก็ได้ อย่าระแวงไปหน่อยเลยน่า”
“เค้ารู้อยู่เต็มอก แต่ขาดหลักฐานเท่านั้นเอง”
พิสัยถอนใจออกมาอย่างหนักใจ ลาภิณรู้สึกเหมือนกับตายไปแล้วจริงๆ เขามองหน้าปริมด้วยสายตาผิดหวังที่สุด
“ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำของคุณแม่ที่พยายามดันนังเจขึ้นมาแทนแล้วถีบฉันให้ไปพ้นๆ ทาง ขนาดนี้ยังดูไม่ออกอีกเหรอ” ปริมเดินไปกระแทกตัวนั่งที่โซฟาอย่างหัวเสีย
“เอาน่า ใจเย็นๆ” พิสัยเดินไปหา “เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว มาช่วยกันคิดหาทางแก้ไขก่อนที่จะสายเกินแก้ดีกว่า” พิสัยนั่งลงข้างๆปริมแล้วเลื่อนมือไปตบขาให้กำลังใจ
ปริมปัดมือพิสัยออกไปแรงๆ ก่อนจะขยับห่างด้วยท่าทางรังเกียจ
ลาภิณยืนนิ่งงัน เขาช็อคจนสติแตกนัยน์ตาแดงกล่ำเพราะเสียใจอย่างที่สุด

หมอและพยาบาลกำลังช่วยกันปั๊มหัวใจให้ลาภิณที่หัวใจหยุดเต้นไปอีก สถานการณ์ตึงเครียด ความเป็นความตายของลาภิณกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย

ในขณะที่วิญญาณลาภิณกำลังยืนงงเพราะตั้งหลักไม่ทันกับเหตุการณ์ที่ได้เห็นและได้ยินในคอนโดของปริม ทันใดนั้นวิญญาณของลาภิณก็มีแสงสว่างขึ้นรอบตัวก่อนจะถูกดูดหายวับไปในแสงสว่างนั้น

วิญญาณลาภิณถูกดูดมาโผล่ในห้องไอซียู ลาภิณมีสีหน้าทั้งงงทั้งสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะหันไปมองทางเตียงผู้ป่วยจึงเห็นหมอและพยาบาลกำลังช่วยกันปั๊มหัวใจให้ร่างของเขาอย่างขมักเขม่น

ชูจิตกำลังยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่หน้าห้องไอซียู เจติยาเห็นก็รีบเดินเข้ามาหาชูจิต
เจติยาร้อนใจสุดๆ “เกิดอะไรขึ้นคะคุณท่าน”
ชูจิตร้องไห้โฮ “ต้นหัวใจหยุดเต้นอีกแล้ว ฉัน...ฉันทนไม่ไหวแล้วนะเจ ฉันรับไม่ไหวแล้ว”
เจติยาสวมกอดชูจิตเพื่อให้กำลังใจ ชูจิตยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วก็กอดเจติยาเอาไว้แน่น เจติยาชะเง้อมองไปในห้องไอซียูก็เห็นวิญญาณลาภิณกำลังมองร่างของเขาที่หมอกำลังพยายามช่วยอยู่ วิญญาณลาภิณค่อยๆ เดินเข้าใกล้เตียงไปเรื่อยๆ เจติยารีบประคองชูจิตไปนั่งพัก
“คุณท่านนั่งพักตรงนี้ก่อนนะคะ คุณท่านตั้งสมาธิอธิษฐานสิคะ ขอผลบุญที่คุณท่านเคยทำมาช่วยให้คุณลาภิณปลอดภัย” เจติยาบอก
ชูจิตซับน้ำตาพร้อมพยักหน้ารับแล้วก็พยายามรวบรวมสติ เจติยาเดินเลี่ยงออกมากดโทรศัพท์มือถือหานิษฐาทันที
“ฐา ตอนนี้แกอยู่ไหน” เจติยาฟัง “อย่าเพิ่งถามอะไรทั้งนั้น แกรีบไปบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลย แล้วบอกแม่หรือนทีก็ได้ ให้ไปหยิบกล่องตรงโต๊ะเขียนหนังสือให้แก แล้วแกรีบเอากล่องมาให้ฉันที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเลยนะ” เจติยาฟัง “แกยังไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น เร็วที่สุด เข้าใจมั้ยฐา” เจติยากดวางสาย
เจติยาเดินไปชะโงกมองที่ห้องไอซียูด้วยสีหน้าร้อนใจมาก

เจติยาเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล สักพักรถของนิษฐาก็เลี้ยวปาดเข้าโรงพยาบาล
ยังไม่ทันหาที่จอดดีเจติยาก็วิ่งไปประชิดรถ
เจติยารีบเคาะกระจกหน้าต่างรถแล้วเอ่ยถาม “ได้มั้ย”
นิษฐากดกระจกลงมา
“อะไรจะรีบร้อนขนาดนั้น” นิษฐาว่า
“กล่องล่ะ”
นิษฐาหยิบกล่องรากบุญยื่นให้ “ใช่มั้ย”
เจติยาเห็นกล่องรากบุญก็ดีใจมาก
นิษฐาสงสัย “นี่มันกล่องอะไรของแก”
เจติยาฉวยกล่องรากบุญไปแล้ววิ่งเข้าโรงพยาบาลไปทันที นิษฐายืนงง
“เจ เดี๋ยวสิ” นิษฐางง “อะไรของมันเนี่ย”

เจติยาถือกล่องรากบุญวิ่งมาที่มุมลับตาคน เธอมองไปรอบๆ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครเห็น เธอก็มองกล่องรากบุญนิ่งๆ บนกล่องมีเหรียญ “ดาวทุกข์” ติดอยู่ครบสามดวงหมายความว่าอยู่ในสถานะที่พร้อมจะขอพรได้แล้ว

หมอและพยาบาลกำลังช่วยกันปั๊มหัวใจลาภิณเต็มที่โดยที่วิญญาณลาภิณยืนมองร่างตัวเองอยู่ใกล้ๆ ด้วยสายตาสงบนิ่งเพราะทำใจได้แล้ว
หมอใช้เครื่องช็อตหัวใจปั๊มหัวใจลาภิณ “เคลียร์”
ร่างลาภิณสะดุ้งเฮือกขึ้นมาตามแรงช็อต

เจติยาตั้งสติ รวบรวมสมาธิ แล้วพูดอธิษฐานขอพรต่อกล่อง “กล่องรากบุญ ฉันขอให้แก”

หมอยังคงใช้เครื่องช็อตหัวใจปั๊มหัวใจให้ลาภิณ “เคลียร์” ร่างลาภิณสะดุ้งเฮือกขึ้นมาตามแรงช็อต แต่เส้นสัญญาณชีพที่จอมอนิเตอร์ยังราบเรียบไม่กระตุกเลยแม้แต่น้อย หมอและพยาบาลหันไปมองหน้ากัน ก่อนจะทำใจยอมแพ้ด้วยการเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ เพราะคิดว่าช่วยชีวิตลาภิณไม่ได้แล้ว

เจติยาตั้งสติ รวบรวมสมาธิแล้วพูดอธิษฐานขอพรต่อกล่องอย่างต่อเนื่อง “ช่วยคุณลาภิณ ให้รอดพ้นจากความตาย”

วิญญาณลาภิณเดินเข้าไปหาร่างของตัวเองที่นอนนิ่งสนิทเพราะหมดลมหายใจไปแล้ว ลาภิณมองดูตัวเองเหมือนต้องการบอกลาร่างกายของเขา
ลาภิณพูดหน้าเศร้า “ตายซะก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องบ้าๆอีก ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไปเลย”
ทันใดนั้นร่างกายลาภิณก็สั่นไหวเหมือนถูกแรงบางอย่างมากระทำ วิญญาณลาภิณงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน

เจติยาตั้งสติ รวบรวมสมาธิ แล้วพูดอธิษฐานขอพรต่อกล่องต่อ “ขอให้หายเป็นปกติเดี๋ยวนี้”
สิ้นคำขอพรของเจติยา กล่องรากบุญก็เปิดออกพร้อมแสงสว่างจ้าทั่วบริเวณ

วิญญาณของลาภิณถูกดูดกลับเข้าไปในร่างทันที เส้นสัญญาณชีพที่จอมอนิเตอร์กระตุกขึ้นมา ก่อนจะเริ่มส่งสัญญาณเป็นปกติ
พยาบาลหันไปดูมอนิเตอร์แล้วก็ตกใจมาก “คุณหมอคะ”
หมอกำลังจะเดินออกไปนอกห้อง พอได้ยินพยาบาลเรียกก็รีบกลับมาดูและตรวจอาการลาภิณทันที ลาภิณค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนแรงและมีสีหน้าแววตางงๆ

ลาภิณกำลังนอนอยู่บนเตียงให้หมอตรวจอาการโดยมีชูจิตคอยดูแลด้วยความห่วงใยอยู่ไม่ห่าง
หมอตรวจอาการเสร็จก็หันมาคุยกับชูจิต “ตั้งแต่ผมเป็นหมอมา ไม่เคยเห็นคนไข้เฉียดตายที่ไหนฟื้นตัวเร็วเท่านี้มาก่อนเลยนะครับ”
ชูจิตยังขวัญผวาไม่หายถึงกับน้ำตาคลอและจับมือลูกชายเอาไว้ตลอดเวลา ลาภิณยิ้มบางๆ ให้ชูจิต
“ถ้าอยากจะกลับบ้านจริงๆ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะครับ” หมอบอก
ชูจิตยิ้มดีใจ “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”
ชูจิตและลาภิณหันมายิ้มให้กัน
“งั้นหมอขอไปเยี่ยมไข้ห้องอื่นต่อก่อนนะครับ” หมอบอก
ลาภิณ ชูจิตและหมอยกมือไหว้ร่ำลากันก่อนที่หมอและพยาบาลจะเดินออกไปจากห้อง

ชูจิตพูดหน้านิ่ง “เมื่อกี๊หนูปริมโทรมา บอกว่าเดี๋ยวจะมาเยี่ยม” ชูจิตไม่พอใจนัก “หายหัวไปเลย ไม่เคยมาดูดำดูดี พอรู้ว่าต้นอาการดีขึ้นหน่อยล่ะรีบมาทันทีเลย”
ลาภิณพูดหน้าเครียด “คุณแม่ครับ เดี๋ยวพอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมขอไปที่บริษัทเลยนะครับ”
“อะไรกันจ๊ะต้น เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลก็จะทำงานเลยเหรอ”
ลาภิณหน้าเครียด “ผมมีหลายเรื่องที่ต้องรีบสะสางน่ะครับแม่ ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว”
“เรื่องอะไรให้แม่ไปจัดการแทนก็ได้ ต้นพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนดีกว่านะลูก”
ลาภิณหน้าเครียดขึ้นมา “เรื่องนี้ผมต้องจัดการด้วยตัวเองครับแม่” ลาภิณนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนใจหนักๆ แล้วตัดใจพูด “คุณแม่รู้เรื่องปริมกับน้าพิสัยมานานรึยังครับ”
ชูจิตตกใจเพราะไม่คิดว่าลูกชายจะรู้เรื่องนี้ด้วย

ลาภิณเปิดประตูรถให้ชูจิตเข้าไปนั่งก่อน ใขณะที่ปริมขับรถมาที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลพอดี เธอเห็นลาภิณและชูจิต ปริมจึงรีบขับรถไปขวางหน้ารถชูจิตเอาไว้ คนขับรถรีบเดินไปบอก
“รถกำลังจะออกครับคุณ”
ปริมที่แต่งตัวสวยเดินลงจากรถมาหาลาภิณทันที
ปริมดีใจมาก รีบเดินเข้าไปหาทันที “คุณต้นหายแล้วจริงๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อเลย”
ลาภิณยิ้มเย็นชา “ดวงผมคงยังไม่ถึงที่”
ปริมดีใจมากจึงเข้าไปกอดลาภิณ “ปริมดีใจที่สุดเลยค่ะ”
ลาภิณขยับตัวห่างไม่ยอมให้ปริมกอด
“ไม่เหมาะสมมั้งครับ”
ปริมหน้าเสีย “นี่คุณต้นโกรธปริมที่เพิ่งจะมาเยี่ยมใช่มั้ยคะ”
ลาภิณหน้านิ่ง
ปริมออดอ้อนเต็มที่ “ไม่ใช่ว่าปริมไม่ห่วงคุณนะคะ แต่ปริมทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นคุณในสภาพแบบนั้น”
ชูจิตเดินลงมาจากรถ หลังจากนั่งเงียบอยู่นาน
ชูจิตพูดหน้านิ่ง “มาได้แล้วเหรอจ๊ะหนูปริม”
ปริมยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะคุณแม่”
ชูจิตรับไหว้ตามมารยาท
ลาภิณพูดสวนขึ้น “ไปกันเถอะครับคุณแม่ วันนี้ผมมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”
“คุณต้นจะไปไหนคะ” ปริมถาม
“ธุระส่วนตัวครับ” ลาภิณจะเดินอ้อมไปขึ้นรถ
ปริมเดินไปขวางหน้า “ปริมจะไปด้วยค่ะ”
“ต้นเค้าพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วว่าจะไปทำธุระส่วนตัว ยังไม่เข้าใจอีกรึไง” ชูจิตว่า
ปริมไม่สนชูจิตและไม่พอใจลาภิณ “คุณต้นไม่เคยเย็นชากับปริมแบบนี้มาก่อนนี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ”
“คนเราลองตื่นจากความตายมาได้ ก็ต้องหลุดพ้นจากความโง่งมงายได้เหมือนกัน” ชูจิตบอก
“คุณแม่พูดเหมือนปริมเป็นคนหลอกลวงยังงั้นแหละ”
“หรือว่าไม่จริงจ๊ะ” ชูจิตจ้องหน้า
ปริมรีบหลบสายตา ลาภิณหน้านิ่งและมีแววตาเจ็บช้ำ
ปริมบีบน้ำตา “คุณต้นคะ” ปริมเน้นเสียง “เราเป็นแฟนกันนะคะ”
ลาภิณพูดหน้านิ่ง “ลาภิณที่เป็นแฟนคุณตายไปแล้ว”
ปริมอึ้งแล้วก็น้ำตาท่วม “คุณต้น”
“ผมไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ สิ่งที่ผมเห็น ผมได้ยิน มันมากเกินจะต้องฟังคำอธิบายอะไรอีกแล้ว เราจบกันแค่นี้นะปริม”
ปริมน้ำตาร่วงทันที ลาภิณไม่มองหนาปริมแต่เดินเลี่ยงไปขึ้นรถทันที
“เดี๋ยวสิคะต้น คุณไปเห็นไปได้ยินอะไรมา บอกปริมก่อนสิคะ” ปริมจะตามไป
ชูจิตปาดมาจับแขนปริมเอาไว้ทำให้ลาภิณเดินเลี่ยงขึ้นรถไปได้
ปริมบีบน้ำตา “คุณแม่คะ ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันซักอย่างแน่ๆ”
ชูจิตมองหน้าปริม “หนูปริมจ๊ะ”
ปริมปาดน้ำตาแล้วมองหน้าชูจิตแบบแอบมีความหวัง
ชูจิตหน้านิ่ง “ช่วยเลื่อนรถด้วยจ้ะ”
ปริมอึ้งไป
ชูจิตเดินไปขึ้นรถที่คนขับรถรอเปิดประตูให้อยู่แล้วเข้าไปนั่งคู่กับลาภิณที่เบาะหลัง ปริมน้ำตานองหน้าเดินกระแทกปึงปังไปขึ้นรถขับแล้วออกไปอย่างเร็ว ชูจิตเลื่อนมือไปกุมมือลูกชายที่นั่งก้มหน้านิ่งแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ลาภิณมีสีหน้าเศร้าซึม เขาเจ็บช้ำเพราะยังทำใจไม่ได้ แต่ก็ต้องตัดใจ

พิสัยเดินกลับเข้ามาในบริษัทตอนบ่าย เขาเห็นพนักงานกลุ่มนึงกำลังมุงที่บอร์ดพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก
พิสัยไม่พอใจ “นี่จะรวมกลุ่มประท้วงกันเหรอ”
กลุ่มพนักงานหันไปเห็นพิสัยก็กระอักกระอ่วนและทำท่าทางแปลกๆ ก่อนจะพากันเดินออกไป
“มีอะไรน่าดูนักรึไง”

พิสัยเดินเข้าไปดูที่บอร์ดแล้วก็ต้องช็อกสุดๆ เมื่อเห็นประกาศปลดเขาจากทุกตำแหน่งในของบริษัทนิราลัย ติดอยู่กลางบอร์ด ทันใดนั้นเสียงลาภิณก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของพิสัย
“ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจ ก็ถามผมได้เลย”
พิสัยรีบหันกลับไปมองอย่างตกใจสุดๆที่ลาภิณเป็นปกติดีทุกอย่าง “คุณต้น”
ลาภิณยิ้มเย็นชาและมีสายตาแข็งกร้าวเพราะคราวนี้เขาไม่มีทางยอมพิสัยอีกแน่

ลาภิณมานั่งคุยกับพิสัยอยู่ในห้องทำงาน
ลาภิณพูดหน้านิ่งและทำสายตากวน “ผมก็ไม่คิดเหมือนกันครับว่าจะมีโอกาสหาย พอสวรรค์เมตตาผมก็ต้องรีบมาจัดการทุกอย่างให้มันเรียบร้อยก่อนจะหมดโอกาสอีก”
พิสัยแค้นใจ “ด้วยการไล่น้าออกอย่างงั้นเหรอะ คุณต้นลืมไปแล้วรึไง ว่าน้ามีโปรเจ็คที่ยังต้องรับผิดชอบอยู่” พิสัยยิ้มเยาะ “แล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีเท่าน้าด้วย”
“ผมทราบครับ แต่บริษัทควรจะเลี้ยงคนเนรคุณที่แม้แต่พี่สาวแท้ๆของตัวเอง ยังจับไปขัง เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ได้ เอาไว้อีกมั้ยครับ” ลาภิณย้อนถาม
พิสัยอึ้ง ลาภิณพูดต่อ
“ผมว่าสู้ตัดนิ้วร้ายทิ้งซะ ดีกว่านิราลัยต้องเสียหายมากกว่านี้”
พิสัยพยายามระงับสีหน้า “เรื่องนี้น้าคุยกับพี่จิตแล้ว”
ลาภิณพูดสวนขึ้น “ผมก็คุยกับคุณแม่แล้วเหมือนกัน ผมบอกกับคุณแม่ตามตรง ว่าผมทนเล่นละครทำงานร่วมกับคนทรยศไม่ได้ คุณแม่ก็เลยให้ผมจัดการไปตามที่ผมเห็นควร” ลาภิณจ้องหน้าพิสัย “แล้วผมก็เห็นควรแล้วว่าการให้น้าพิสัยอยู่ห่างจากนิราลัย เป็นวิธีที่ดีที่สุด”
พิสัยพยายามระงับอารมณ์ “เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ น้าเองก็สำนึกผิดแล้ว จะไม่ให้โอกาสกันบ้างรึไง”
“ให้โอกาสน้ากลับมาทำร้ายผมกับคุณแม่อีกน่ะเหรอครับ ความโง่เง่าตายไปพร้อมกับลาภิณคนเก่าแล้ว” ลาภิณมีสีหน้าแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“แล้วคุณต้นไม่คิดถึงนิราลัยบ้างรึไง ถ้าไล่น้าออกตอนนี้ นิราลัยต้องเสียผลประโยชน์เท่าไหร่ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานสิครับ มืออาชีพหน่อย”
ลาภิณจ้องหน้าแบบรู้ทัน “มันเป็นเรื่องเดียวกันตะหาก ที่น้าจับตัวคุณแม่ไป ก็เพราะอยากได้นิราลัยไม่ใช่เหรอ ผมว่าน้าออกไปดีๆ จะดีกว่า ถ้ารื้อฟื้นเป็นคดีความกันขึ้นมา น้าพิสัยก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ ว่าใครจะเดือดร้อนที่สุด”
พิสัยโมโหมากจึงชี้หน้าลาภิณ “แกจะมาทำกับฉันอย่างงี้ไม่ได้ ฉันอยู่นิราลัยมาก่อนแก รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที่นี่...”
ลาภิณไม่สนใจ เขากดสายภายในเพื่อต่อไปยังเลขาหน้าห้องแล้วพูด “เรียกฝ่ายรักษาความปลอดภัยเข้ามาห้องผมเดี๋ยวนี้เลย”
พิสัยขบกรามจนขึ้นสันก่อนจะชี้หน้าลาภิณ ลาภิณจ้องหน้าพิสัยแบบไม่เกรงกลัว พิสัยหันหลังกลับด้วยสีหน้าโกรธจัดแล้วเดินไปเปิดประตูก่อนจะปิดกระแทกโครมแล้วเดินออกไป ลาภิณมองตามแล้วอมยิ้มสะใจ กับการเปิดศึกซึ่งๆ หน้าอย่างเป็นทางการแบบนี้

พิสัยเดินลิ่วมาด้วยความโกรธ ทันใดนั้นเขาก็เห็นปราณยืนรออยู่
พิสัยโมโหมาก “ทำไมแกถึงไม่ช่วยฉัน ไหนแกรับปากว่าฉันจะได้อยู่นิราลัยต่อไงล่ะ”
ปราณยิ้มเล็กน้อย “แกก็ได้อยู่ต่อจริงๆ ไม่ใช่เหรอ แต่เรื่องคราวนี้มันนอกเหนือข้อตกลง ฉันไม่เกี่ยว”
พิสัยโมโหมาก “งั้นแกก็ทำให้ฉันได้กลับเข้าไปซิ ให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นมาคุกเข่า อ้อนวอนฉันกลับไปทำงาน”
“แกก็รีบเป็นเจ้าของกล่องรากบุญซะซิ อย่าว่าแต่จะได้กลับไปทำงานเลย เป็นเจ้าของนิราลัยซักสิบแห่งก็ยังได้” ปราณจ้องหน้า “ขนาดคนกำลังจะตายยังฟื้นขึ้นมาได้เลย แกก็เห็นกับตาแล้วนี่”
พิสัยอึ้งไปนิดนึงก่อนจะหงุดหงิดขึ้นมาอีก “ก็เงื่อนไขของแกมันวุ่นวายซะเหลือเกิน นังเด็กนั่นก็ฉลาดเป็นกรด คงไม่หลงกลฉันง่ายๆ แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ” พิสัยมีสีหน้าหงุดหงิด
“จะวุ่นวายยังไง แกก็ต้องทำให้ได้ ถ้าแกอยากเป็นเจ้าของกล่องรากบุญ”
“ก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องที่จะต้องสะสางก่อน” พิสัยมีสายตาเหี้ยมเกรียม

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 29 พ.ย. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager