@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 30 พ.ย. 55

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 30 พ.ย. 55

“เธอเอามาให้ฉันดูได้มั้ย ฉันอยากเห็นกล่องที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้”
เจติยามีสีหน้าท่าทางอ่อนลง
นิษฐามองไปที่หน้าบ้านนวัชแล้วก็มีสีหน้าซึมไปเพราะรู้สึกเห็นใจนวัชขึ้นมาจับใจ นิษฐาเห็นลาภิณเปิดประตูรถให้เจติยาโดยที่เจติยายอมก้าวขึ้นรถไปแต่โดยดี ลาภิณรีบเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป นิษฐาได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความรู้สึกเห็นใจ
นิษฐาบ่นพึมพำ “จะบอกพี่หมวดยังไงดีเนี่ย”
นิษฐามีสีหน้าใช้ความคิดก่อนจะหันกลับไปแล้วก็สะดุ้งโหยงร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจเพราะนวัชมายืนมองดูอยู่ด้านหลังของเธอนานแล้ว นิษฐามองหน้านวัชโดยไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงดี
นวัชพูดหน้านิ่ง “ไปทานต่อเถอะ” นวัชเดินนำไปก่อน

นิษฐาถอนใจยาวออกมาก่อนจะเดินตามนวัชไปกินข้าวเป็นเพื่อน
สักพักรถคันหรูของปริมก็ค่อยๆ แล่นผ่านหน้าบ้านนวัชไปทางบ้าน
เจติยาอย่างช้าๆ

กล่องรากบุญอยู่ในมือของลาภิณ ลาภิณกำลังดูกล่องรากบุญอยู่โดยที่เจติยาเดินยกน้ำมาเสิร์ฟให้แล้วนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
“ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่ากล่องใบแค่เนี้ย จะมีอำนาจถึงขนาดช่วยชีวิตคนใกล้ตายอย่างฉันได้” ลาภิณพูด
“แต่อำนาจของมัน ก็มาพร้อมกับความน่ากลัวนะคะ” เจติยาบอก



ลาภิณวางกล่องรากบุญลงกลางโต๊ะก่อนจะเหลือบตามองเจติยา
“ถ้าผิดพลาดขึ้นมาฉันอาจจะตาย หรือไม่ก็ถูกทำร้ายเพื่อแย่งกล่องไปก็ได้” เจติยาพูดเสริม
ลาภิณยิ้มบางๆ “แต่ถ้าคิดในมุมกลับกัน มันก็ทำให้เธอได้ทำความดี ได้ช่วยเหลือวิญญาณที่กำลังเดือดร้อนนะ”
เจติยาคิดตาม “ก็จริงค่ะ จริงๆฉันก็ดีใจนะที่ได้ช่วยเหลือพวกเค้า ถ้าไม่ต้องถูกบังคับให้...”
ทันใดนั้นเสียงปริมก็ดังขึ้นด้วยความโมโห “คุณต้น”
ทุกคนหันไปมองตามเสียงก็เห็นปริมที่มีสีหน้าโกรธจัดยืนอยู่หน้าประตูโถง
“ฉันนึกแล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ คุณถึงขอเลิกกับปริม”
เจติยาลุกขึ้น “เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วคะ”
ปริมมีสีหน้าโกรธจัด “หน้าด้าน” ปริมจะตรงเข้าไปทำร้ายเจติยา
ลาภิณรีบเข้าไปล็อกตัวปริมไว้ไม่ให้ทำร้ายเจติยา “อย่านะปริม เป็นบ้าอะไรของคุณ”
ปริมมีสีหน้าโกรธจัดและอารมณ์พุ่งพล่าน เธอดิ้นรนจะเข้าไปทำร้ายเจติยาให้ได้
ลาภิณตะคอกเสียงดัง “หยุดเดี๋ยวนี้นะปริม”
ปริมดิ้นด้วยความโมโหสุดขีด “คุณปกป้องมันเหรอ ปล่อยปริม ปริมจะฆ่ามัน ปล่อย”
เจติยาอ่อนใจ “คุณเคลียร์ปัญหาของคุณเองละกัน ฉันไม่เกี่ยว”
ปริมโมโหสุดๆ “แกไม่ต้องมาแอ๊บเลย ฉันรู้ทันแผนการแกทุกอย่าง”
เจติยาทำสีหน้าเฉยชาว่าไม่แคร์และไม่อยากยุ่งด้วย เธอหยิบกล่องรากบุญแล้วเดินขึ้นบ้านไปเลย
ปริมเดือดพล่าน “ฉันเกลียดแก ฉันจะฆ่าแก” ปริมทั้งดิ้นทั้งกระชากตัวจะไปทำร้ายเจติยาให้ได้
ลาภิณทนไม่ไหวจึงรีบล็อกตัวปริมลากออกจากบ้านไป
ปริมขัดขืน “ปล่อยปริมนะคุณต้น ปล่อย ปล่อยซิ”
ลาภิณยกปริมตัวลอยแล้วพาออกไปจากบ้านเจติยาทันที

ลาภิณอุ้มปริมตัวลอยออกมาปล่อยกระแทกใส่รถของปริมเอง
ลาภิณโมโหมาก “ผมหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายนะปริม ที่คุณจะไประรานเจเค้าแบบนี้”
ปริมสวนด้วยความโมโห “ปริมจะทำอีก ถ้าคุณยังไม่เลิกยุ่งกับมัน”
ลาภิณจ้องหน้า “คุณไม่มีสิทธิ”
“ทำไมจะไม่มี เราเป็นแฟนกัน จะแต่งงานกันอยู่แล้วด้วย คุณนอกใจปริมแล้วจะให้ปริมทำตัวเป็นนางเอกยอมรับสภาพ นอนร้องไห้อยู่บ้าน ไม่มีทางซะหรอก”
“เราไม่ใช่แฟนกันแล้วปริม” ลาภิณเน้นเสียง “เราจบกันแล้ว” ลาภิณเดินไปขึ้นรถ
ปริมน้ำตาท่วมขึ้นมาก่อนจะเดินตามไป “ปริมผิดอะไร คุณบอกมาสิ”
ลาภิณจ้องหน้า “คุณยังต้องให้ผมพูดอีกเหรอะ คุณก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”
ปริมรีบเข้าไปกอดลาภิณไว้แล้วอ้อนวอนสุดๆ “อย่าทิ้งปริมไปนะคะคุณต้น ปริมทำผิดอะไร คุณบอกปริมมาสิคะ ปริมจะได้ปรับปรุงตัว” ปริมร้องไห้ออกมา
ลาภิณแกะแขนปริมออกด้วยท่าทางโกรธจัด “มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ปล่อยผมเดี๋ยวนี้”
ปริมร้องไห้แล้วกอดไว้แน่น “ไม่ปล่อยค่ะ ก่อนคุณถูกยิง คุณยังบอกว่ารักปริมอยู่เลย แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ ใครมาเป่าหูคุณ”
“ไม่มีใครเป่าหูผมทั้งนั้นล่ะ ผมเห็นมากับตาตัวเอง แล้วผมก็ไม่อยากพูดถึงมันอีก” ลาภิณแกะแขนปริมออกอย่างหัวเสีย “ปล่อยผมได้แล้ว” ลาภิณแกะแขนปริมออกมาก่อนจะจับตัวปริมให้เผชิญหน้าแล้วพูดกระโชกใส่ “ผมจะไม่เหลือความรู้สึกดีๆ กับคุณแล้ว รู้ตัวมั่งมั้ย” ลาภิณสะบัดปริมออกไปแรงๆ
ปริมเซไปกระแทกรถแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจมาก ลาภิณขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างไม่แยแส ปริมจิกตามองตามแล้วหยุดร้องไห้ทันทีก่อนจะมีสีหน้าแววตาแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ เธอหันขวับแล้วเงยหน้ามองไปที่ระเบียงชั้นบนบ้านของเจติยา เจติยาที่แอบมองอยู่มุมระเบียงนึกไม่ถึงว่าปริมจะมองขึ้นมาก็ตกใจจนหลบแทบไม่ทัน
ปริมจ้องเขม็งแล้วส่งสายตาดุดันไปถึงเจติยา เจติยารีบผลุบหลบเข้าบ้านไป ปริมมีสายตาแข็งกร้าวแฝงอำมหิตจนดูน่ากลัว

พิสัยเดินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องพักโดยเปิดทีวี.เพื่อดูข่าวทิ้งเอาไว้
พิสัยคุยมือถือ “ตอนนี้ผมออกจากนิราลัยแล้ว คุณมีอะไร ก็ติดต่อไปที่บริษัทค้าไม้ของผมละกัน” พิสัยฟังอีกฝ่ายแล้วก็หงุดหงิด “มันก็ต้องมีปัญหาสิคุณ ไม่งั้นผมจะออกเหรอ อยากจะรู้อะไรอีกมั้ย” พิสัยฟังอีกฝ่ายก่อนกดตัดสายแล้วบ่นอย่างหัวเสีย “ถามซอกแซกอยู่ได้”
ทันใดนั้นพิสัยก็ได้ยินเสียงผู้ประกาศข่าวในทีวีกำลังรายงานข่าวอยู่
“สำหรับความคืบหน้า คดีลอบยิงนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบริษัททำศพชื่อดัง”
พิสัยหันขวับไปทางทีวีแล้วจับตาดูอย่างสนใจ
“ขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ภาพสเก็ตของคนร้ายแล้ว...”
พิสัยมีสีหน้าซีดเผือดเพราะตกใจมาก

พิสัยวางซองใส่เงินลงบนโต๊ะต่อหน้าปองและย้ง
ย้งดีใจ “เงินของไอ้เชิดมันใช่มั้ยครับ”
“จะเอามั้ย” พิสัยถาม
ย้งยกมือไหว้ “ขอบคุณมากครับคุณพิสัย”
ย้งจะหยิบซองเงินไปแต่พิสัยรีบจับซองเงินไว้ไม่ให้เขาหยิบ ทำเอาปองและย้งงงไปตามๆ กัน
“ไม่ใช่เงินไอ้เชิด แต่เป็นเงินของพวกแกตะหาก” พิสัยบอก
ปองงง “เงินพวกผมเหรอครับ”
“ใช่ พวกแกนัดไอ้เชิด บอกว่าจะเอาเงินไปให้ จากนั้นก็ปิดปากมันซะ” พิสัยจ้องหน้าปองและย้ง “เสร็จแล้วพวกแกก็เอาเงินในซองนี้ไปแบ่งกัน”
ย้งตกใจมาก “คุณพิสัยจะให้พวกเรา...”
พิสัยพูดสวนขึ้น “ใช่ พวกแกไม่เห็นข่าวรึไง ขืนปล่อยมันเอาไว้ ทั้งแกทั้งฉันไม่รอดแน่”
“แต่ไอ้เชิดมันเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่เด็กเลยนะครับคุณพิสัยแล้วจะให้ผม” ย้งอึดอัดใจจนพูดไม่ออก
“ตอนนี้มีรูปไอ้เชิดติดอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ต่อให้หนีข้ามชายแดนไปได้ ก็ไม่รอดอยู่ดี ถ้าพวกแกไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ ก็ได้ติดคุกกันยกแก๊งนี่ล่ะ” พิสัยบอก
ปองและย้งอึกๆอักๆ เพราะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่กล้าเถียง ทั้งสองแอบสบตากัน พิสัยจับตามองทั้งคู่ตลอดเวลาว่ามีพิรุธอะไรบ้าง
ริมน้ำตอนกลางคืนเงียบสงัดเพราะปราศจากผู้คน ย้งยืนกระวนกระวายอยู่คนเดียวระหว่างรอพบเชิด สักพักเชิดก็เดินมองซ้ายมองขวาเข้ามาหาย้ง
“รอนานมั้ยวะไอ้ย้ง ข้ากลัวตำรวจสะกดรอยตาม เลยเสียเวลาหน่อย” เชิดบอก
ย้งกระอักกระอ่วน “ข้าก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”
“แล้วเงินล่ะ ข้านัดเรือไว้แล้ว จะได้ให้เค้าพาหนีคืนนี้เลย”
ย้งล้วงเข้าไปในอกเสื้อก่อนจะชักปืนออกมาแทน
เชิดตกใจ “อะไรวะไอ้ย้ง”
ปองที่แอบอยู่เดินออกมาพร้อมกับเล็งปืนไปที่ด้านหลังของเชิด
“อย่าโกรธกันเลยวะไอ้เชิด พวกข้าทำตามคำสั่งคุณพิสัย เอ็งพลาดให้พวกมันเห็นหน้า ถือเป็นคราวซวยของเอ็งเอง” ปองบอก
เชิดหันไปมองปองและย้งสลับกันด้วยความโกรธแค้น
เชิดตะคอกย้ง “ไอ้เพื่อนทรยศ ข้ามารับงานนี้ก็เพราะเอ็งนะไอ้ย้ง เอ็งจะฆ่าเพื่อนได้ลงคอเลยเหรอวะ”
ย้งสองจิตสองใจอยู่ครู่นึงเพราะทำใจฆ่าเพื่อนไม่ได้ เขาค่อยๆ ลดปืนลง
ปองตกใจ “ไอ้ย้ง”

“เอ็งหุบปากไปเลย ยังไงไอ้เชิดก็เพื่อนข้า ข้าทำมันไม่ลงหรอก” ย้งว่า
เชิดยิ้มดีใจที่เพื่อนไม่ทรยศ
ย้งมองปอง “ถ้าคุณพิสัยใช้ให้ข้ายิงเอ็ง ข้าก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
ปองลดปืนลงเพราะซึ้งใจเพื่อนเหมือนกัน “แล้วจะไปบอกคุณพิสัยยังไงวะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นที่ด้านหลังปอง ปองล้มลงขาดใจตายทันที
ย้งตกใจมาก “ไอ้ปอง”
ย้งและเชิดหันไปมองจึงพบว่าคนยิงคือพิสัย
ย้งตกใจมาก “คุณพิสัย”
พิสัยแค้นจัด “กูคิดไม่ผิดที่ตามมาเก็บพวกมึงด้วยตัวกูเอง ไอ้เนรคุณ”
เชิดตั้งสติได้ก็รีบเข้าไปหยิบปืนจากศพของปองเพื่อจะยิงพิสัย แต่พิสัยระวังตัวอยู่แล้วเลยยิงใส่เชิดที่หัวไหล่ก่อนจะยิงซ้ำอีกนัดที่หน้าอกจนร่างของเชิดกระเด็นตกน้ำไป ย้งตกใจสุดๆ จึงหันปืนจะยิงพิสัย แต่พิสัยก็ยิงย้งที่หัวไหล่จนปืนกระเด็นหลุดมือไป พิสัยย่างสามขุมเข้าไปหาย้ง
ย้งกลัวสุดขีดจึงคุกเข่า “ไว้ชีวิตผมด้วยครับคุณพิสัย”
พิสัยยิงย้งอย่างไร้ความเมตตาจนย้งขาดใจตายไปอีกคน พิสัยยิ้มเหี้ยมเพราะจัดการทุกอย่างได้ตามที่เขาต้องการ

ศพปองและย้งนอนตายอยู่บนเตียงแต่งศพสองเตียงที่วางคู่กัน เจติยาและทวียืนดูศพปองกับย้งด้วยความเศร้าใจ เพราะถึงไงก็เป็นคนเคยรู้จักกัน
เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัย “นี่ตำรวจเค้าชันสูตรเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะลุง”
“เรียบร้อยแล้วสิ เอกสารทุกอย่างมีครบหมด ไม่งั้นลุงจะรับศพไว้ได้ยังไงล่ะ ถามแปลกๆ”
“ก็เจรู้สึกว่ามันแปลกจริงๆ นี่คะลุง คนอย่างปองกับย้ง ไม่น่าจะมีทรัพย์สินมีค่าติดตัวมากถึงขนาดต้องโดนฆ่าชิงทรัพย์เลยนะคะ”
“ก็ไม่แน่หรอกหนูเจ สองคนนี่รับใช้คุณพิสัยมานาน ก็อย่างที่รู้ๆ กัน คงรับส่วนแบ่งมาเยอะแหละ”
เจติยายังติดใจสงสัยอยู่ดี
“มาช่วยกันทำงานดีกว่า จะได้รับศพอื่นต่อ” ทวีพูดแล้วเลี่ยงไปเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ
เจติยาพนมมือไหว้ขอขมาปองและย้ง “สิ่งใดที่เคยล่วงเกินต่อกันเอาไว้ เจ อโหสิให้นะ แล้วก็ขอให้พวกพี่อโหสิให้เจด้วย”
เจติยาไหว้แล้วจบที่หัว ทันทีที่ลดมือลงมือของปองก็คว้าข้อมือของเจติยาไว้ เจติยาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจสุดๆ ศพของย้งดีดตัวขึ้นมาก่อนจะลืมตาโพลงพร้อมพูด
“บอกความจริง”

ลาภิณและเจติยาเดินคุยกันเรื่องการตายของปองกับย้งตามทางเดินในบริษัท
ลาภิณมั่นใจ “งานนี้ไม่ต้องไปสืบหาตัวฆาตกรให้เสียเวลาหรอก ฝีมือน้าพิสัยแน่นอน”
เจติยาหนักใจ “คุณพิสัยคงไม่ทิ้งหลักฐานอะไรให้สาวถึงตัวได้ง่ายๆ หรอกค่ะ ไม่อย่างงั้นตำรวจเค้าจะลงความเห็นว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์เหรอคะ”
ลาภิณพยักหน้าเห็นด้วย “แล้ววิญญาณสองคนนั่นได้บอกมั้ย ว่าทำไมน้าพิสัยถึงต้องฆ่าพวกเค้าด้วย”
“เปล่าค่ะ วิญญาณของสองคนนั่นไม่มีพลังมากพอ พวกเค้าทำได้แค่บอกว่าใครเป็นคนฆ่าเท่านั้นเอง แต่สื่อสารมากกว่านั้นไม่ได้”
ลาภิณคิดอยู่ครู่นึง “ถ้าให้ฉันเดา ปองกับย้งทำงานกับน้าพิสัยมานาน น่าจะรู้ความลับอะไรหลายอย่าง น้าพิสัยก็เลยจำเป็นต้องปิดปากเพราะกลัวโดนหักหลัง”
เจติยามีสีหน้าครุ่นคิดกับคำพูดของลาภิณ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
ลาภิณเปลี่ยนเรื่องแบบไม่ให้ตั้งตัว “พักกลางวันแล้ว ไปทานข้าวด้วยกันมั้ย”
เจติยาชะงักแล้วหันไปมอง “อย่าดีกว่าค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันไม่อยากเป็นขี้ปากใคร”
“พูดยังกะตอนนี้ไม่เป็นงั้นล่ะ” ลาภิณยิ้มๆ
เจติยาถอนใจ “ฉันมีครอบครัวต้องรับผิดชอบ ยังไม่อยากเจอคุณปริมยิงทิ้ง”
ลาภิณขำๆ “อย่างปริมจะทำอันตรายใครได้”
“คุณรู้จักผู้หญิงน้อยเกินไป” เจติยาจ้องหน้าก่อนเดินหนีไปทันที
ลาภิณมองตามยิ้มๆ พร้อมถอนใจแล้วส่ายหน้า
นวัชและตำรวจจำนวนหนึ่งเดินเข้าล็อบบี้ของโรงพยาบาลต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง หมอคนหนึ่งเดินเข้าไปหานวัชทันที
“หมวดนวัชใช่มั้ยครับ” หมอถาม
“ใช่ครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้ผู้ต้องสงสัยอยู่ไหนครับ” นวัชถามกลับ
“อยู่ในห้องพักผู้ป่วยครับ ผมเพิ่งผ่าตัดเอากระสุนออก ตอนนี้คงกำลังหลับอยู่”
นวัชนึกไม่ถึง “โดนยิงมาด้วยเหรอครับ”
“ครับ มีชาวบ้านไปพบตัวเมื่อตอนเช้า เค้าพามาส่งที่นี่ ผมเลยผ่าตัดให้ แต่จำได้ว่าหน้าตาเหมือนในประกาศจับ ผมก็เลยแจ้งตำรวจไปน่ะครับ”
นวัชพยักหน้ารับ “งั้นรบกวนคุณหมอนำทางไปเลยครับ”
หมอเดินนำนวัชไป โดยมีตำรวจอีกจำนวนหนึ่งเดินตามไป

หมอเดินนำนวัชกับตำรวจมาที่ห้องพักคนไข้ พอเปิดประตูเข้าไปก็ต้องตกใจเมื่อภายในห้องว่างเปล่า มีแต่สายน้ำเกลือที่ถูกถอดทิ้งไว้ โดยที่เชิดไม่อยู่แล้ว
หมอตกใจและแปลกใจมาก “อ้าว หายไปไหนแล้วล่ะ เมื่อกี้ยังสลบอยู่เลยครับคุณตำรวจ”
นวัชรีบเข้ามาดูที่สายน้ำเกลือแล้วจับที่เตียง
นวัชคุยกับหมอ “เตียงยังอุ่นอยู่เลยครับ คงหนีไปได้ไม่นาน” นวัชหันไปสั่งตำรวจ “รีบไปตามหาเร็ว”
นวัชและพวกตำรวจรีบแยกย้ายไปตามหาเชิดทันที

เจติยาเดินกลับเข้าบ้านมาโดยมยุรีกำลังถือกระดาษแผ่นหนึ่งนั่งคุยกับนทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่
ที่โซฟา
เจติยายิ้มแย้ม “กลับมาแล้วค่ะ”
มยุรีและนทีมีท่าทางตกใจและปรับท่าทีแทบไม่ทัน นทีรีบก้มหน้าหลบสายตา
มยุรีรีบปั้นยิ้ม “กลับมาแล้วเหรอลูก กินอะไรมารึยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เจติยาเห็นกระดาษในมือแม่ “บิลอะไรคะแม่”
มยุรีตกใจเพราะเก็บไม่ทัน
นทีรีบพูดแทน “แม่ใช้ให้ผมไปจ่ายตลาดพรุ่งนี้ ก็เลยจดรายการที่จะซื้อมาให้”
“ใช่จ้ะใช่” มยุรียื่นกระดาษให้นที “อ้ะ ไปจัดการให้เรียบร้อยนะ”
นทีรับกระดาษมา “ครับแม่”
นทีรีบถือกระดาษเดินเลี่ยงขึ้นบ้านไปทันที เจติยารู้สึกติดใจสงสัยจึงมองไปทางมยุรี มยุรีไม่กล้าสบตารีบเดินหนีไปทางครัวทันที เจติยามีสีหน้าใช้ความคิดแล้วรีบเดินตามนทีขึ้นไปชั้นบนทันที

นทีเปิดประตูเข้าห้องนอนมาแต่ยังไม่ทันจะปิดประตูห้อง เจติยาก็ผลักประตูตามเข้ามาทันที นทีตกใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปมอง เจติยาใช้ความไวฉกกระดาษในมือนทีมาดู
“เอาคืนมานะพี่เจ” นทีพยายามจะแย่งคืน
เจติยาหันเอาตัวบังแล้วคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอ่านจนพบว่าเป็นใบแจ้งผลการสอบของนที
“ผลสอบนี่”
นทีหน้าบึ้งตึง “เอาของผมคืนมา” นทีจะแย่งคืน
เจติยาปัดป้องไว้ได้ “ขอฉันดูก่อน”
นทีถอนใจแล้วเดินไปกระแทกตัวนั่งที่ปลายเตียงด้วยสีหน้าเครียด เจติยากวาดตาดูผลสอบนทีอย่างเร็ว
เจติยาโมโหมาก “ตกเกือบหมดทุกวิชา เรียนประสาอะไรของแก”
นทีแถ “ก็ผมเคยบอกพี่แล้วไงว่าผมหัวไม่ดี”
“หรือว่าเหลวไหลไม่ยอมไปเรียนกันแน่”
นทีถอนใจเซ็งๆ
“เอาอีกแล้วนะนที เสียแรงที่พี่ไว้ใจ ไม่คอยมานั่งจับผิด แกเลยกลับไปทำตัวเหลวไหลเหมือนเดิมอีกแล้วใช่มั้ย”
นทีถอนใจด้วยความรำคาญแล้วจะลุกออกไปจากห้อง
เจติยากระชากตัวเอาไว้ “แกจะไปไหน”
นทีกระชากตัวออกด้วยหน้าหงิกงอ
เจติยาโมโหมาก “เมื่อไหร่แกจะโตซะที มีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียวยังทำไม่ได้ แกเป็นผู้ชายนะนที กะจะแบมือขอเงินผู้หญิงอย่างฉันกับแม่ไปจนตายรึไง”
นทีโมโหมาก “เอะอะก็ทวงบุญคุณตลอด แม่ไม่เห็นจะว่าอะไรผมเลย มีแต่ให้กำลังใจ มีแต่พี่นี่ล่ะ เอะอะก็ด่าๆๆ”
“แม่รักแกจนตาบอด ให้ท้ายแกจนเหลิง”
นทีเหลืออดจึงสวนกลับ “อิจฉาล่ะสิ ถึงได้หาเรื่องอาละวาดใส่ผมตลอด เลิกอ้างว่าห่วงผมซะทีเถอะ ผมรู้ทันพี่หรอกน่ะ”
เจติยาโกรธจนกำมือแน่น
“ต่อไปพี่ไม่ต้องมาจ่ายค่าเรียนค่าโน่นนี่ให้ผมอีกแล้วนะ บาทเดียวผมก็ไม่เอา พี่จะได้เลิกมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตผมซะที” นทีว่า
เจติยาพยายามสะกดอารมณ์ เธอจ้องหน้า “แกจะเอายังงั้นจริงๆ ใช่มั้ยนที”
“เออ”
เจติยาโมโหมากจึงขยำผลสอบปาใส่หน้านที “ได้ ต่อไปฉันจะไม่สนใจแกอีกเลย”
“น่าจะทำตั้งนานแล้ว ถ้าบ้านหลังนี้ไม่มีพี่คอยโวยวาย เจ้ากี้เจ้าการไปซะทุกเรื่อง ทุกคนคงมีความสุขมากกว่านี้”
เจติยาอึ้งๆ และอดน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความน้อยใจไม่ได้

“ผมจะโง่จะฉลาด จะอดตายยังไงก็ชีวิตผม พี่เอาเวลาไปดูแลชีวิตตัวเองให้ดีเถอะ เลิกยุ่งกับผมซะที บอกตามตรงว่าผมรำคาญ แม่ก็รำคาญแต่ไม่อยากพูดให้พี่เสียใจ”
เจติยาปาดน้ำตาออกก่อนที่มันจะไหลแล้วพูดกับน้องชาย
“ถ้าแกคิดว่าตัวเองแน่นัก ก็อย่าดีแต่ปาก เก่งจริงก็ออกไปอยู่ที่อื่นสิ ลองไม่มีแม่ไม่มีพี่ น้ำหน้าอย่าแกจะมีปัญญาเอาชีวิตรอดได้ซักกี่วัน”
นทีจ้องหน้าเจติยาด้วยสีหน้ารั้นเพราะอยากเอาชนะ ก่อนจะเดินหุนหันกระชากประตูออกไปจากห้อง แล้วปิดโครมใส่หน้าเจติยา เจติยาทั้งเครียดทั้งโกรธ
นทีเดินปึงปังลงบันไดมาด้วยหน้าตาหงุดหงิด เขาจะเดินออกไปจากโถง
มยุรีรีบเดินตามนที “จะไปไหนนที”
“พี่เจเค้าท้าให้ผมออกไปอยู่ที่อื่น คนอย่างผมก็ท้าไม่ได้ซะด้วย” นทีผุนผันออกไปจากบ้านทันที
“นที”
นทีมีหน้าตาโกรธจัด เขาผุนผันออกไปจากบ้านทันที
มยุรีรีบตามไป “นที แล้วลูกจะไปไหน”
นทีเปิดประตูรั้ววิ่งตะบึงออกไปทันที
มยุรีตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วง “นที”
เสียงเจติยาดังขึ้น “ปล่อยมันไปเถอะแม่”
มยุรีหันขวับไปจ้องหน้าเจติยาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
มยุรีถามลูกสาวทั้งน้ำตา “เจไล่น้องออกจากบ้านได้ยังไง”
“ก็อยากอวดเก่งนักนี่ มันบอกจะไม่ใช้เงินเจซักบาท ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณ อยากให้เจเลิกยุ่งกับชีวิตของมัน...อวดดี น้ำหน้าอย่างมัน จะไปไหนรอด จับจดขนาดนั้น”
“สอบตกก็ซ่อมได้ ไม่เห็นต้องพูดจารุนแรงกับน้องขนาดนั้นเลยเจ”
“แม่ให้ท้ายมันอีกแล้วนะ มันสอบตกเพราะเกเรไม่ไปเรียน”

อ่านละคร รากบุญ[2] วันที่ 30 พ.ย. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager