@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 1 ธ.ค. 55

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 1 ธ.ค. 55

“สอบตกก็ซ่อมได้ ไม่เห็นต้องพูดจารุนแรงกับน้องขนาดนั้นเลยเจ”
“แม่ให้ท้ายมันอีกแล้วนะ มันสอบตกเพราะเกเรไม่ไปเรียน”
“ใครบอกเจว่าน้องไม่ไปเรียน เจกำลังเข้าใจน้องผิด” นทีพูดทั้งน้ำตาคลอ “นทีมันเพิ่งร้องไห้กับแม่ก่อนแกจะกลับมา ว่ามันเสียใจที่ทำสอบไม่ได้”
เจติยาอึ้งไป
“น้องด่าตัวเองว่าโง่ สมองขี้เลื่อย น้องพยายามแล้ว แต่มันได้แค่นี้” มยุรีน้ำตาท่วมขึ้นมา
เจติยาพูดไม่ออกเพราะนึกไม่ถึง
มยุรีซับน้ำตา “น้องรู้ว่าต้องโดนเจเล่นงานอีก เจต้องหาว่าน้องกลับไปเหลวไหลเหมือนเดิม แล้วมันก็เป็นจริงๆ”

เจติยาจ๋อยไป
“แม่เลยแนะนำให้น้องปิดเรื่องผลสอบเป็นความลับไว้ก่อน เจงานยุ่งอาจจะลืมเรื่องสอบไปเลยก็ได้”
เจติยารู้สึกผิดมาก เธอรีบผุนผันออกจากบ้านไปตามหานที มยุรีมองตามเจติยาด้วยน้ำตารื้นๆ



เจติยากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหานทีไปตามซอยที่จะออกไปสู่ถนนใหญ่ เธอพยายามมองหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นนที ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งแล่นมาช้าๆ ทางด้านหลังเจติยา เจติยาหลีกทางให้รถ แต่รถคันนั้นก็ไม่ยอมขับผ่านไปได้แต่ขับตามหลังเจติยาอยู่อย่างนั้น
เจติยาชักแปลกใจเลยหยุดยืนมอง รถคันนั้นแล่นมาจอดข้างๆ เจติยาก่อนที่กระจกรถจะเลื่อนลงทำให้เห็นว่าปริมเป็นคนขับ
เจติยานึกไม่ถึง “คุณปริม”
ปริมพูดหน้านิ่ง “ขึ้นรถ”
เจติยาระแวง “คุณมีธุระอะไรรึเปล่าคะ”
ปริมชักปืนออกมาขู่เจติยา “ฉันบอกให้ขึ้นรถ”
เจติยาตกใจจนหน้าซีดเผือดเพราะไม่คิดว่าปริมจะเล่นแรงขนาดนี้ เจติยามีสีหน้าเจ้าเล่ห์และคิดจะวิ่งหนี แต่ปริมพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“อย่าคิดหนี ระยะแค่นี้ฉันยิงไม่พลาดแน่...ขึ้นมาเร็วๆ” ปริมทำสายตาดุดันเพราะพิษรักแรงหึง
เจติยาเห็นปริมเอาจริงก็คิดว่าต้องรักษาชีวิตไว้ก่อนจึงยอมขึ้นรถไปกับปริม

ปริมขับรถพาเจติยามาถึงบริเวณทางเปลี่ยวแห่งหนึ่ง โดยที่มือหนึ่งถือปืนขู่เจติยาไว้ เจติยาใช้ความคิดหาทางเอาตัวรอดตลอดเวลา ทันใดนั้นปริมก็จอดรถในที่เปลี่ยวและมืดที่สุด เจติยาเหลือบตามองปริมด้วยสีหน้าวิตกกังวลว่าปริมจะทำยังไงกับตน
ปริมสั่ง “ลงไป”
เจติยาพยายามกล่อม “อย่าทำอย่างงี้เลยคุณปริม มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกค่ะ”
ปริมตวาดแว๊ด “ฉันสั่งให้แกลงไปไงล่ะ” ปริมมีสีหน้าแววตาโกรธจัด
“คุณดื่มมาใช่มั้ย ฉันได้กลิ่นเหล้า”
ปริมแผดเสียงดัง “ลงไป”
เจติยายอมลงจากรถแต่ยังมีสีหน้าใช้ความคิด ปริมรีบตามลงมาจากรถทันทีพร้อมกับถือปืนขู่ตลอด
ปริมเล็งปืนใส่เจติยา “แกคงนึกไม่ถึงล่ะสิ ว่าคนอย่างฉันจะกล้าทำเรื่องแบบนี้”ปริมน้ำตาคลอขึ้นมา “แกแย่งหัวใจของฉันไป ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว แกก็ต้องอยู่ไม่ได้เหมือนกัน” ปริมน้ำตาไหลออกมา
เจติยาเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ฉันไม่เคยคิดแย่งคุณลาภิณ”
ปริมพูดสวนทันที “โกหก”
“ฉันพูดความจริง คุณ...”
ปริมสวนด้วยความโมโห “หุบปาก ฉันกับคุณต้นรักกันมาตั้งนานแล้ว ถ้าไม่มีแกเข้ามาแทรก เค้าก็ไม่มีวันเลิกกับฉันหรอก ทุกอย่างมันเป็นเพราะแกเป็นต้นเหตุ”
“ฉันกับคุณต้นเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้นเอง ไม่มีทางจะเป็นอะไรมากกว่านั้นไปได้หรอกค่ะ”
ปริมโมโหมาก “ฉันไม่เชื่อ แกกลัวตายถึงได้พูดยังงี้ ถ้าแกไม่คิดอะไรกับคุณต้นจริง แกก็ไปจากเค้าสิ ออกจากบริษัท แล้วไปให้ไกลๆ แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก ว่ายังไงล่ะ” ปริมเล็งปืนไปที่เจติยา “ตอบมาสิ”
เจติยามีสีหน้าใช้ความคิด
ปริมตวาด “เงียบทำไม ทำไม่ได้ใช่มั้ย งั้นแกก็ตายซะเถอะ” ปริมจะเหนี่ยวไก
เจติยาจวนตัวเลยฉุกคิดได้ เธอมองเลยไปด้านหลังปริมแล้วเอ่ยออกมา “คุณต้น”
ปริมตกใจจึงหันกลับไปมองตามสัญชาติญาณ เจติยาฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปแย่งปืนจากปริมทันที ทั้งคู่ต่อสู้กันแบบไม่มีใครยอมใคร แต่เจติยาแข็งแรงกว่าจึงบิดมือปริมจนปืนหลุด เจติยาฉวยโอกาสเตะปืนทิ้งไปไกลๆ แล้วผลักปริมล้มลงทันที เจติยารีบวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ปริมมองตามด้วยความแค้นจัด

เจติยาวิ่งหนีเต็มฝีเท้าเพื่อจะไปที่ถนนใหญ่ เจติยาเหนื่อยหอบแต่ก็กัดฟันวิ่งต่อ ทันใดนั้นก็มีแสงไฟสูงจากรถส่องมาทางด้านหลังเจติยา เจติยาหันไปมองแล้วก็แสบตาจนต้องเอามือป้อง ปริมเป็นคนขับรถคันนั้น ปริมมองไปที่เจติยาด้วยความแค้นสุดๆ ก่อนจะเหยียบคันเร่งเต็มแรงหมายชนเจติยาให้ตายคาที่ เจติยาตกใจเพราะตั้งหลักไม่ทัน รู้ตัวอีกทีรถของปริมก็พุ่งเข้าหาตนด้วยความเร็วสูง
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวูบพุ่งเข้ามาป้องกันเจติยาไว้จากรถที่กำลังพุ่งเข้ามาชน เจติยาทรุดลงแล้วสลบไป รถของปริมจอดสนิทและไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อีกแม้แต่นิดเดียว รถคันหนึ่งขับผ่านมาพอดี รถคันนั้นจอดจากนั้นหนุ่มสาว 4 คนในรถก็ลงจากรถไปดูเจติยาทันที
ปริมตกใจจนหน้าซีดเผือด พอตั้งสติได้เธอก็ตัวสั่นสะท้าน ก้าวขาไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก และถึงกับสติแตก ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ในรถ ปราณยืนขมึงทึงอยู่หน้ารถปริมพร้อมกับจ้องมองไปที่เจติยาเขม็ง
ปราณพึมพำด้วยสีหน้าเครียด “ใครมาช่วยมัน” ปราณมีสีหน้าสงสัยมาก

ลาภิณเดินร้อนใจเพราะเป็นห่วงมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน โดยที่หน้าห้องมีปริมนั่งหน้าเครียดอยู่ ส่วนมยุรีกำลังนั่งร้องไห้ โดยมีนิษฐากับนวัชคอยปลอบใจ
ปริมเห็นลาภิณก็บีบน้ำตาแล้วลุกไปหา “คุณต้น”
ลาภิณไม่สนใจ เขาเดินเลยไปถามนวัชด้วยความเป็นห่วง “เจเป็นยังไงบ้างครับ”
นวัชเครียดและเป็นห่วง “ยังไม่ทราบเหมือนกันครับ”
ปริมมีสีหน้าเจ็บใจปนน้อยใจที่ลาภิณเฉยชากับตน
มยุรีร้องไห้สะอึกสะอื้น “ไม่รู้เวรกรรมอะไรของฉัน ลูกชายก็หนีออกจากบ้าน ลูกสาวจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้”
นิษฐาเหล่มองปริมด้วยสายตาโกรธเกลียด “เจจะต้องหาย แล้วมาลากคอผู้หญิงใจโหดเข้าคุกได้แน่ๆ”
ปริมโมโห “มันสมควรโดนแล้ว ชอบแย่งของรักของคนอื่นดีนัก”
นิษฐาโมโหมาก “จับมันเลยค่ะพี่หมวด เห็นมั้ยคะ มันสารภาพแล้ว ไม่ต้องไปกลัวว่ามันเป็นลูกใครหรอกค่ะ”
“ใจเย็นๆ น่าฐา พี่ต้องทำตามหน้าที่อยู่แล้ว”
ปริมยิ้มเยาะ “ถ้าฉันกลัวโดนจับไม่มายืนลอยหน้าอยู่ที่นี่หรอก มันเป็นอุบัติเหตุ”
นิษฐาเหลืออดจะพุ่งเข้าไปหา “ฆาตกรปากแข็ง”
นวัชจับตัวนิษฐาเอาไว้เกือบไม่ทัน ปริมตกใจจึงถอยหนีไป
“ถ้าเพื่อนฉันเป็นอะไรไป ฉันจะฆ่าแก” นิษฐาว่า
นวัชปรามนิษฐา “พอแล้วฐา โรงพยาบาลนะ เกรงใจคนอื่นเค้ามั่งเถอะ”
มยุรีเสียงแข็งใส่ลาภิณ “ช่วยพาแฟนคุณออกไปก่อนได้มั้ยคะ แค่นี้ฉันก็เครียดจะตายอยู่แล้ว” มยุรีน้ำตาไหลออกมา
ลาภิณหน้าเครียดก่อนจะล็อกตัวปริมแล้วพาออกไปทางอื่นทันที

ลาภิณล็อกตัวปริมแล้วลากมาที่มุมหนึ่งในโรงพยาบาลก่อนจะปล่อยตัว
ลาภิณโมโหมาก “แค่เจตนาฆ่าคนตายยังหนักไม่พอรึไง ยังจะไปหาเรื่องเค้าอีก”
“มันเป็นอุบัติเหตุ” ปริมบอก
“แต่มีคนเห็นเหตุการณ์”
“ก็ไปเป็นพยานในศาลเอาสิคะ แต่ปริมยืนยันว่ามันคืออุบัติเหตุ”
ลาภิณมีสีหน้าผิดหวัง “ผมคิดไม่ถึงว่าคุณจะกลายเป็นคนใจร้ายได้ขนาดนี้”
ปริมจ้องหน้าลาภิณแล้วก็น้ำตาคลอขึ้นมาเพราะแอบผิดหวังเช่นกัน “ถ้าคุณไม่ได้ชอบมัน คุณคงปกป้องปริม ไม่มีทางคิดว่าปริมจะจงใจขับรถชนมันหรอก”
ลาภิณโมโห “เลิกโทษคนอื่นซะทีเถอะ ผมบอกเป็นล้านครั้งแล้วว่าเจเค้าไม่เกี่ยว ที่คุณกับผมต้องเลิกกัน เพราะผมรับไม่ได้กับสิ่งที่คุณทำ”
ปริมร้องไห้ฟูมฟาย “ไม่จริง คุณหาขออ้างต่างๆนาๆ เพื่อเลิกกับปริมเพราะมัน” ปริมเสียใจมากจึงเข้าไปทุบตีลาภิณ “คุณเปลี่ยนไปเพราะมัน”
ลาภิณจับปริมเอาไว้ “ยอมรับความจริงซะทีเถอะปริม อย่าคิดว่าแอบทำอะไรไว้แล้วจะไม่มีใครรู้”
ปริมโมโหมากจึงพูดทั้งน้ำตา “งั้นก็บอกมาสิ ปริมทำผิดอะไรคุณบอกมาเลยสิ”
ลาภิณบีบแขนปริมล็อคเอาไว้ก่อนจะตะคอกใส่ “ถึงขั้นนี้แล้วยังต้องให้ผมประจานอีกเหรอ คุณไม่อาย แต่ผมอาย” ลาภิณผลักปริมออกไป
ปริมเซไปตามแรงผลัก เธอโกรธจัดจึงแช่งออกมา
“ปริมขอให้มันตาย หรือไม่ก็พิการไปเลยยิ่งดี”
ลาภิณตะคอกสวน “พอเถอะปริม อย่าให้ผมต้องรู้สึกแย่กับคุณมากไปกว่านี้อีกเลย...แค่นี้ ผมก็แอบเผลอดีใจไปแล้ว ที่เลิกกับคุณไปซะได้”
ปริมเสียงดัง “คุณต้น”
ลาภิณเดินไปโดยไม่พูดด้วยอีก ปริมโกรธและเสียใจแต่ทำได้แต่ทุบตีตัวเองแล้วร้องไห้ฟูมฟาย

นวัชและนิษฐายังอยู่เป็นกำลังใจให้มยุรีที่หน้าห้องฉุกเฉิน พยาบาลเปิดประตูห้องให้หมอออกมา ทั้งสามคนรีบเข้าไปหาหมอทันที
มยุรีถามด้วยความเป็นห่วงเจติยาสุดๆ “ลูกดิฉันเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”
หมอตอบด้วยสีหน้าแปลกใจ “ไม่เป็นอะไรเลยครับ”
ทุกคนทั้งอึ้งทั้งงง
“แต่มีพยานเห็นกับตาเลยนะครับ ว่าเจถูกรถคุณปริมพุ่งเข้าชนจนสลบไป” นวัชบอก
“ครับ หมอก็แปลกใจ ทำไมไม่มีรอยฟกช้ำอะไรเลย แค่สลบไปเฉยๆ ตอนนี้ฟื้นแล้ว ตรวจร่างกายเบื้องต้น ก็เป็นปกติดีทุกอย่าง”
นิษฐางงมาก “เป็นไปได้ยังไงคะ”
มยุรีน้ำตาคลอด้วยความดีใจ “คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแท้ๆเลย”
“แต่ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจจะเช็คสมองให้ละเอียดอีกทีก็ได้นะครับ” หมอบอก
มยุรีมีสีหน้ากังวลเพราะไม่ค่อยมีเงิน
ทันใดนั้นเสียงลาภิณก็ดังขึ้น “ตรวจเลยครับ”
ทุกคนหันไปมอง
ลาภิณพูดต่อ “เช็คร่างกายอย่างละเอียดเลยครับคุณหมอ ผมจะเป็นเจ้าของไข้ให้เอง”
มยุรีดีใจจนน้ำตารื้น นวัชมีสีหน้านิ่งไปอย่างยอมรับ นิษฐาแอบชำเลืองมองหน้านวัชแล้วก็เข้าใจความรู้สึกของเขา

เจติยาเดินอยู่คนเดียวในห้องที่มืดสนิทและเวิ้งว้าง เธอหันไปมองรอบๆ แล้วก็พบแต่ความมืด ไม่ได้ยินเสียง หรือมองเห็นอะไรทั้งนั้น
เจติยาหน้าขรึมไป “นี่ฉันตายไปแล้วเหรอเนี่ย”
ทันใดนั้น เจติยาก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น
เสียงมัจจุราชดังขึ้น “เปล่าหรอก เธอแค่หลับไปเท่านั้นเอง อีกเดี๋ยวก็ตื่นแล้วล่ะ”
เจติยาตกใจ เธอมองไปรอบๆเพื่อหาต้นเสียง “คุณเป็นใคร”
เสียงมัจจุราชพูดต่อ “ฉันก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ไงล่ะ”
เจติยาพยายามนึกทบทวน “คุณช่วยฉันไว้ คุณเป็นวิญญาณที่อยู่กับกล่องรากบุญใช่มั้ยคะ”
เสียงมัจจุราชดัง “วิญญาณที่อยู่กับกล่องตอนนี้ คือเจ้าปองเจ้าย้ง ไม่มีอำนาจพอที่ จะทำอะไรแบบนั้นได้หรอก”
เจติยาสงสัยมาก “แล้วคุณเป็นใครกันแน่ถึงได้รู้เรื่องกล่องรากบุญมากขนาดนี้”
“ฉันรู้เพราะฉันคือผู้ที่สร้างมันขึ้นมาน่ะสิ”
เจติยาตกใจสุดๆ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกับผู้ที่สร้างกล่องรากบุญขึ้นมา

เจติยาสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าตกใจและประหลาดใจ เธอเหลือบตาไปมองมยุรีที่นอนหลับอยู่ที่โซฟารับแขก
เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัย “เค้าเป็นใครกันแน่” เจติยาถอนใจออกมาอย่างใช้ความคิดจะข่มตานอนต่อก็ไม่หลับแล้ว

มยุรีเข็นรถพยาบาลพาเจติยากลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย
มยุรีเซ็ง “ทำไมถึงให้ปากคำไปว่าเป็นอุบัติเหตุล่ะลูก คนใจโหดเหี้ยมแบบนั้น น่าจะได้รับบทลงโทษให้หลาบจำ”
“ช่างเถอะค่ะ เจก็ไม่ได้เป็นอันตรายอะไร” เจติยาไม่สบายใจ “แล้วที่คุณปริมเค้าทำไป ก็เพราะหึงหวงจนขาดสติ จะว่าไปมันก็น่าเห็นใจเค้าเหมือนกันนะคะ”
“ใจดีไม่เข้าเรื่อง เกือบตายเพราะเค้าแท้ๆ”
เจติยาจะลุกขึ้น มยุรีรีบเข้ามาประคอง
“เจไม่ได้เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะแม่”
มยุรีช่วยประคองลูกสาว
เจติยามีสีหน้าเป็นห่วง “นทีโทรมารึยังคะแม่”
“โทรมาแล้วล่ะ บอกว่าเมื่อคืนไปค้างบ้านเพื่อน” มยุรีเป็นห่วงลูก “แต่ไม่ยอมบอกว่าเมื่อไหร่จะกลับ” มยุรีถอนหายใจออกมา

“ถ้าเค้าโทรมาอีก ให้เจคุยด้วยนะคะ เจอยากขอโทษนที”
มยุรียิ้มสบายใจแล้วบีบแขนเจติยา “ดีแล้วล่ะลูก ปรับความเข้าใจกันซะ ยังไงก็พี่น้องกัน แม่จะได้สบายใจซะที” มยุรียิ้มให้ “นอนพักเถอะลูก”
เจติยาเลื่อนตัวลงนอนบนเตียง มยุรีเดินไปนั่งที่โซฟาแล้วหยิบรีโมทมากดเปิดทีวีดู เจติยาขยับตัวนอนหันข้าง
เจติยาพูดพึมพำด้วยสีหน้าค้างคาใจ “ขอฝันถึงคนเมื่อคืนต่ออีกทีเถอะ” แล้วเจติยาก็ข่มตาหลับไป

บ่ายวันต่อมา นทีเดินคุยโทรศัพท์มือถือด้วยท่าทางหงุดหงิดผ่านหน้าร้านกาแฟในห้างสรรพสินค้า
นทีหงุดหงิด “อะไรวะ ดูหนังเป็นเพื่อนหน่อยก็ไม่ได้ ทีเอ็ง ข้าไม่เคยไม่ว่างเลยนะโว้ย”
พิสัยที่นั่งดื่มกาแฟรอพบลูกค้าอยู่เห็นนทีก็จำได้จึงจับตามอง
นทีคุยมือถือด้วยอารมณ์หงุดหงิด “เออๆ ไม่ต้องพูดมากเลย ทีใครทีมัน แค่นี้แหละ” นทีกดตัดสาย
เสียงพิสัยดังขึ้น “นทีใช่มั้ย”
นทีหันไปเจอพิสัยกำลังยิ้มให้

พิสัยยิ้มทักทาย “จำพี่ได้รึเปล่า”
นทีจำได้ว่าพิสัยเคยตามจีบเจติยา “คุณพิสัย” นทียกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
พิสัยรับไหว้ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

พิสัยพานทีเข้ามาคุยในร้านกาแฟที่เขานั่งอยู่
พิสัยปั้นหน้าเห็นอกเห็นใจ “เจทำอย่างงี้ก็เกินไป กะอีแค่สอบตกนิดๆ หน่อยๆ ซ่อมผ่านก็จบแล้ว ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย”
นทีได้ใจ “พี่เจเค้าเป็นจอมบงการยังงี้ล่ะครับ อยากให้ผมเรียนโน่นเรียนนี่ตามใจเค้า ไม่เคยถามผมซักคำเลยว่าผมชอบรึเปล่า เมื่อไหร่จะเลิกเผด็จการบังคับจิตใจผมซะทีก็ไม่รู้”
“ไม่เห็นจะยากเลย พิสูจน์ให้เค้าเห็นสิ” พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์
นทีสนใจมาก “ทำไงครับพี่”
“ก็ทำงานไปเรียนไปน่ะสิ นทีจะได้ไม่ต้องไปแบมือของเงินเค้าใช้อีก”
นทีทำหน้าแหย “ผมจะไหวเหรอครับ”
“ก็ทำงานที่บริษัทพี่ตอนเย็นหลังเลิกเรียน งานไม่หนักหนาอะไรหรอก พี่จะเป็นแบ็คอัพให้เอง สบายใจได้” พิสัยตบบ่านทีแรงๆ สองที
นทียิ้มดีใจที่เห็นทางออก เขารีบยกมือไหว้ “ขอบคุณครับพี่”
พิสัยหยิบเงินออกมาห้าพัน “อ้ะ พี่ให้ไว้ใช้”
นทีสองจิตสองใจ “เอ่อ จะดีเหรอครับ”
พิสัยตัดบท “เอาไปเถอะ ถือว่ายืมก็ได้ แล้วเดี๋ยวเราทำงานได้เมื่อไหร่ค่อยเอามาใช้คืนพี่” พิสัยยัดเงินใส่มือนที
นทีไหว้ “ขอบคุณครับ”
นทีรับเงินมาด้วยความดีใจในขณะที่พิสัยมองนทีแล้วก็ยิ้มหยันในความโง่เขลาของนที

พิสัยเดินกลับมาที่รถของตนที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถห้างอย่างอารมณ์ดี ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปราณดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ฉันไม่เข้าใจแกเลย”
พิสัยหันไปมองหาปราณที่ด้านหลังแต่ก็ไม่เห็น
เสียงปราณดังขึ้น “แกจะใช้ประโยชน์อะไรจากน้องชายมันได้”
พิสัยหันไปด้านหน้าแล้วก็ผงะไปเล็กน้อยที่เห็นปราณยืนประชิดอยู่
พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ “มันเป็นน้องของเจติยา ถ้าน้องมีอันตรายถึงชีวิต มีเหรอที่พี่สาวจะไม่ยื่นมือเข้าช่วย เจติยาต้องยอมทำทุกอย่างแน่นอน แม้แต่สละความเป็นเจ้าของกล่องให้ฉัน”
ปราณยิ้มพอใจ “ฉลาดมาก ฉันเลือกคนไม่ผิดเลยจริงๆ...แต่ระวังจะตายน้ำตื้นซะก่อนก็แล้วกัน”
พิสัยสงสัย “หมายความว่ายังไง”
“คนที่แกคิดจะปิดปาก แต่พลาดไป ตอนนี้ มันกำลังย้อนกลับมาเล่นงานแก”
พิสัยคิดตามแล้วก็ตกใจ “นี่ไอ้เชิดยังไม่ตายเหรอ”

เจติยานั่งอ่านเล็คเชอร์ทบทวนเพื่อเตรียมตัวสอบอยู่บนเตียงผู้ป่วย ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่ลาภิณจะเดินเข้ามา
ลาภิณยิ้มให้ “เป็นยังไงมั่ง”
เจติยาตอบหน้านิ่ง “ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่รู้คุณจะมาเสียเงินเสียทอง ตรวจโน่นนี่ให้ฉันอีกทำไม”
“เพื่อความสบายใจของคุณแม่คุณทำไปเถอะ”
เจติยาถอนใจก่อนจะปิดเล็คเชอร์
“ตำรวจบอกเธอให้การว่าเป็นอุบัติเหตุเหรอ” ลาภิณถาม
“ค่ะ”
“ขอบใจมากที่ไม่เอาเรื่องปริม”
“ฉันคิดผิดรึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ คุณปริมคงไม่หยุดเล่นงานฉันแค่นี้แน่ ถ้าคุณยังไม่กลับไปคืนดีกับเค้า”
ลาภิณหน้าขรึมลง “มันเป็นไปไม่ได้หรอกเจ”
“ถ้างั้น คุณกับฉันก็ไม่ควรมาเจอกันตามลำพังยังงี้อีก คุณปริมเธอจะได้เลิกระแวงซะที”
“แล้วมันเรื่องอะไร ฉันต้องทำตามใจปริมเค้าด้วย ในเมื่อเราเลิกกันไปแล้ว”
“คุณเลิกกับเค้าฝ่ายเดียวมากกว่าค่ะ”
ลาภิณจ้องหน้าเจติยา “สรุปชีวิตนี้ฉันจะคบหากับใครใหม่ไม่ได้เลยใช่มั้ย”
เจติยาวางหน้าไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าลาภิณหมายถึงคบใคร เจติยาจึงหลบตา “ฉันจะไปรู้คุณเหรอ”
ลาภิณหน้าซึมไปด้วยความน้อยใจ “ที่พูดอ้างโน่นนี่ เพราะเธอกลัวพี่หมวดหึงก็บอกมาตรงๆ เถอะ”
“เค้ามาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ไม่ใช่แฟนฉันซะหน่อย” เจติยาหลบตาแล้วก็แอบอายๆ เพราะเหมือนเธอเคลียร์ตัวเองกลายๆ
ลาภิณใช้ความคิดพร้อมกับเคาะนิ้วตรงที่กั้นข้างเตียง 2-3 ครั้งแล้วเดินออกไปจากห้อง เจติยามองตามหลังลาภิณออกไปจากห้องจนประตูปิดงับกลับเข้ามา
เจติยางง “อะไรของเค้า”
ลาภิณเปิดประตูห้องกลับเข้ามาในห้อง เจติยาตกใจเล็กน้อย
“ฉันจะไม่ทำตามใจใครอีกแล้ว นอกจากใจตัวเอง” ลาภิณพูดแล้วกลับออกไปอีกครั้ง
“เพี้ยนรึเปล่า” เจติยาย่นจมูกใส่
ลาภิณเปิดประตูกลับเข้ามาอีก
เจติยาผงะไปด้วยความแปลกใจ

ลาภิณพูดเน้นคำ “ฉันยังไม่กลับ”
“ฉันก็ไม่ได้ไล่คุณซักคำ”
ลาภิณเดินไปกระแทกตัวนั่งลงที่โซฟารับแขกพร้อมทำหน้าตาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ เจติยามองตามแล้วอดขำออกมาไม่ได้
ลาภิณเหลือบตามอง “ขำอะไร”
เจติยาอมยิ้มแล้วกลั้นขำ

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 1 ธ.ค. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager