@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 27 พ.ย. 55

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 27 พ.ย. 55

พิสัยปั้นหน้าเศร้า บีบน้ำตาคลอ “พี่เล่าความจริงให้ตำรวจฟังเถอะครับ ถ้าผมทนรับความผิดไม่ไหว ผมก็คงได้ไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เร็วขึ้นก็เท่านั้นเอง”
ชูจิตตกใจมาก “พิสัย”
พิสัยก้มหน้าบีบน้ำตา เจติยาเหล่มองพิสัยด้วยสีหน้าไม่เชื่อ
“เธอออกไปก่อนไป” ชูจิตบอกเจติยา
เจติยาหน้าเสียเพราะรู้ว่าชูจิตใจอ่อนแน่ “คุณท่านคะ”
ชูจิตน้ำตาคลอ “ฉันขอล่ะ ฉันอยากคุยกับน้องตามลำพัง”
เจติยาเซ็งสุดๆ แต่ก็ยอมออกจากห้องไป พิสัยก้มหน้าแต่หางตามองไปทางเจติยาก่อนจะอมยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยความพอใจที่พี่สาวใจอ่อนกับตน

ลาภิณประคองชูจิตกลับเข้ามาในบ้าน โดยมีเจติยาและปริมเดินตามหลังมาอีกที ปริมค้อนเจติยาด้วยสีหน้าหมั่นไส้ตลอดเวลา
“น่าเสียดายนะครับ ที่ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร ไม่อย่างงั้น ผมจะลากคอเข้าคุกให้หมดเลย” ลาภิณบอก
ชูจิตพูดหน้านิ่ง “ก็แค่พวกเรียกค่าไถ่ธรรมดา ช่างมันเถอะต้น ไม่มีใครเป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ”
เจติยาแอบถอนใจเซ็งๆ เพราะชูจิตช่วยน้องชายจนได้
ปริมเหล่เจติยา “ขอบใจนะจ๊ะที่ตามมาส่ง ป่านนี้ที่บ้านเธอคงเป็นห่วงเธอแย่แล้ว เดี๋ยวฉันจะให้คนขับรถไปส่งที่บ้านนะ”
“เดี๋ยวก่อน ที่แม่ให้เจเค้าตามมาด้วย เพราะมีธุระจะคุยกับเค้า”ชูจิตหันไปพูดกับเจติยา “เธอตามฉันขึ้นไปข้างบน”
เจติยารับคำ “ค่ะ คุณท่าน”



เจติยาเดินตามชูจิตขึ้นชั้นบน
ปริมมองตามด้วยความหมั่นไส้ “ดูคุณแม่จะเอ็นดูแม่นี่ขึ้นเยอะเลยนะคะ เมื่อก่อนเห็นเรียกนังเด็กนั่นนังเด็กนี่ เดี๋ยวนี้เรียกเจยังงั้นยังงี้” ปริมเหยียดปาก
“ถูกจับตัวไปด้วยกัน แถมยังพากันหนีออกมาอีก ก็ต้องสนิทกันขึ้นเป็นธรรมดาล่ะปริม” ลาภิณบอก
ลาภิณเดินไปทิ้งตัวลงนั่งเหยียดให้สบายที่โซฟา ทิ้งให้ปริมยืนหงุดหงิดเจ็บใจ ที่ชูจิตไม่เอ็นดูตนเหมือนก่อนแต่หันไปเอ็นดูเจติยาแทน

ชูจิตหยิบสร้อยทองคำขาวมีจี้เพชรเล็กๆห้อยอยู่ออกมาจากกล่องกำมะหยี่ ก่อนจะยื่นให้เจติยา
“ฉันให้ แทนคำขอบคุณที่เธอช่วยฉันเอาไว้”
เจติยายิ้มบางๆ แต่ไม่ยอมรับสร้อย “คุณท่านก็ช่วยชีวิตหนูไว้เหมือนกัน ถือว่าหายกันเถอะค่ะ ส่วนสร้อย หนูคงรับไว้ไม่ได้เพราะมันมีค่ามากเกินไป”
ชูจิตหน้าหงิกงอ “เธอนี่ยังไงนะ ผู้ใหญ่ให้ของก็รับไปเถอะ แล้วมันก็ไม่ใช่ของแพงอะไรนักหนาหรอก”
เจติยาอึกๆอักๆ เพราะลำบากใจที่จะรับสร้อย “แต่...”
“ฉันรู้ว่าเธอหยิ่งในศักดิ์ศรี แล้วที่เธอช่วยฉันก็ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน แต่อย่าถึงกับต้องให้ฉันขอร้องกราบกรานเธอให้รับเอาไว้เลยนะ”
เจติยาหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกเลยไหว้ขอบคุณชูจิตก่อนจะรับสร้อยมา
“ท่านคะ หนูมีเรื่องอยากจะถามท่าน”
ชูจิตขัดขึ้นมาทันที “เรื่องพิสัยใช่มั้ย”
เจติยาพยักหน้ารับ
“ฉันรู้ว่าเธอคงไม่พอใจที่ฉันยอมปล่อยเค้าไป แต่เธอไม่เคยมีลูก เธอไม่เข้าใจหรอก ฉันรักพิสัยเหมือนลูกในไส้ ถึงเค้าจะทำเรื่องเลวร้ายขนาดไหน ฉันก็ทำร้ายเค้าไม่ลง” ชูจิตมีสีหน้าเศร้าเพราะผิดหวัง
เจติยาหน้าขรึมไป “ถึงหนูจะไม่เคยเป็นแม่ แต่ก็เคยเห็นแม่ที่เป็นเหมือนกับคุณท่านประจำค่ะ” เจติยาแอบถอนใจเซ็งเพราะเธอหมายถึงแม่ของตัวเอง
ชูจิตมองเจติยาด้วยสีหน้ามีคำถาม
เจติยารีบเปลี่ยนเรื่อง “แต่คุณพิสัย เค้าอาจจะกลับมาทำร้ายคุณท่านอีกก็ได้นะคะ”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ธุระของเธอ”
เจติยาจ๋อยไป
“แต่ยังไง ฉันก็อยากจะขอให้เธอปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ที่จริงมันก็ไม่ยุติธรรมกับเธอนักหรอก เพราะเธอก็เป็นผู้เสียหาย แต่ถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน”
เจติยาอึ้งไปเพราะชูจิตพูดมาขนาดนี้เธอก็เกรงใจ
“ค่ะคุณท่าน”
ชูจิตตัดบทเปลี่ยนเรื่อง “เธอนี่อะไรก็ดีอยู่หรอกนะ เสียแต่หัวรั้นไปหน่อย แล้วก็ชอบทำตัวมีลับลมคมในซะเรื่อย”
เจติยายิ้ม
ชูจิตหน้าขรึมลงก่อนจะจ้องหน้าเจติยา “แต่ฉันก็ยังคาใจอยู่ไม่หาย ว่าทำไมคุณสารัชถึงให้หุ้นกับเธอ”
เจติยายิ้มค้าง
“ถึงคราวนี้เธอจะช่วยฉันไว้ แต่เรื่องนั้นมันยังไม่จบหรอกนะ” ชูจิตค้อนด้วยสายตาหึงๆ ก่อนจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ “ออกไปได้แล้ว”
เจติยาหน้าเจื่อนปนเซ็งก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา

พิสัยโยนเงินปึกนึงให้ปองและย้ง
พิสัยสั่งหน้าบึ้งตึง “พวกแกไปหาที่กบดานซักพัก”
ย้งหยิบเงินมาแล้วยิ้มดีใจกับปอง
“ตกลงคุณชูจิตจะไม่เอาเรื่องคุณพิสัยแน่เหรอครับ” ปองถาม
พิสัยตะคอก “เออสิวะ ก็ฉันลงทุนกราบแทบเท้า แถมยังต้องยอมลาออกจากนิราลัยแล้วนี่”
“ถึงขั้นต้องออกเลยเหรอครับ” ย้งถาม
พิสัยยิ่งโมโห “เออ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมึงทำพลาด กูจะตกที่นั่งลำบากขนาดนี้เหรอะ ไปให้พ้นๆ หน้ากูเลย”
ปองและย้งรีบออกไปจากห้อง โดยปองมีท่าทางเซ็งๆเบื่อพิสัย ในขณะที่ย้งมีท่าทางกลัวๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นที่ด้านหลังพิสัย พิสัยรีบหันกลับไป เขาเห็นปราณกำลังหยิบของตั้งโชว์ของเขาขึ้นมาดู พิสัยตกใจลุกขึ้นยืน
“แกเป็นใคร เข้ามาในห้องฉันได้ยังไง มากับไอ้ปองไอ้ย้งเหรอ”
ปราณยิ้มๆ แล้วเดินเข้าหาพิสัย
พิสัยรีบเดินไปเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบปืนออกมาขู่ทันที
ปราณมองพิสัยหัวจรดเท้า “เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ทะยานอยากไม่สิ้นสุด แถมยังโหดเหี้ยมอำมหิตอีก คนอย่างแก มันช่างเหมาะสมจริงๆ”
พิสัยเห็นปราณไม่ตอบแถมยังด่าเขาอีกก็โมโหเลยจะยิงปืนใส่ปราณ แต่พิสัยกลับบังคับมือตัวเองไม่ได้ จู่ๆ ก็หันปืนใส่ตัวเอง พิสัยต้องใช้มืออีกข้างมาฝืนไว้
พิสัยตกใจสุดๆ กลัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ปราณขำเยือกเย็นก่อนจะเดินมาดึงปืนออกจากมือพิสัย
พอปราณดึงปืนออกไป พิสัยก็หายจากอาการประหลาดทันที
พิสัยชักกลัว “แกเป็นใครกันแน่” พิสัยถอยห่าง
ปราณยิ้ม “แกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เอาเป็นว่าถ้าแกยอมช่วยฉัน ฉันจะให้แกเป็นเจ้าของกล่องรากบุญคนใหม่ก็แล้วกัน”
พิสัยสงสัย “กล่องรากบุญ พูดเรื่องอะไรของแก” พิสัยมีสีหน้ากลัวๆ
ปราณสะแหยะยิ้มร้าย

นิษฐากำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมหลังจากเพิ่งอาบน้ำสระผมและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ โทรศัพท์มือถือของนิษฐาดังเป็นสัญญาณบอกว่ามีเมสเสจเข้ามา นิษฐากดดูเมสเสจทำให้เห็นว่าเป็นนวัชที่เมสเสจเข้ามา
นิษฐาอ่านข้อความออกเสียง “ใจคอจะโกรธกันจนตายเลยรึไง” นิษฐาเบ้ปากใส่โทรศัพท์ แต่ก็แอบอมยิ้ม
มีเสียงบอกว่าเมสเสจเข้ามาอีก นิษฐาเลยกดดู
“เดินมาที่หน้าต่างหน่อยสิครับ”
นิษฐาเดินไปเปิดผ้าม่านแล้วมองออกไป เธอเห็นนวัชยืนถือป้ายขนาดใหญ่ที่วาดเป็นตัวการ์ตูนเด็กชายกำลังร้องไห้ พร้อมกับมีตัวหนังสือเขียนว่า “ยกโทษให้พี่ด้วยนะครับ”
นิษฐาค้อนใส่ “ประสาท” นิษฐาแอบอมยิ้มชอบใจ

นิษฐาสวมเสื้อคลุมชุดนอนเดินออกมาหานวัชที่หน้าบ้าน
นวัชยิ้มรับ ก่อนลดป้ายลง “หายโกรธพี่แล้วใช่มั้ย”
นิษฐาค้อน “ฐาอายเพื่อนบ้านหรอกค่ะ”
นวัชยิ้ม “พี่ขอโทษอีกครั้งก็แล้วกัน” นวัชถอนหายใจโล่งอกก่อนจะยิ้มแย้ม “ค่อยสบายใจหน่อย เครียดมาซะตั้งหลายวัน”
“สบายใจเพราะเจปลอดภัย หรือเพราะฐายกโทษให้พี่กันแน่คะ”
“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ พี่ไม่ชอบทะเลาะกับใครนานๆ โดยเฉพาะกับเพื่อนดีๆอย่างฐา” นวัชยิ้มแย้ม “นี่ดีนะ ที่เจเค้าแนะนำพี่ว่าควรง้อฐายังไง ไม่งั้นพี่ก็คงจนปัญญา”
นิษฐาอึ้งไป
“เห็นเจบอกว่าฐาชอบฉากง้อแบบนี้ในหนังเรื่องนึง เรื่องอะไรเหรอ พี่จะไปหามาดูมั่ง ดูซิว่าพี่ง้อได้ดีเท่าพระเอกในเรื่องรึเปล่า”

นิษฐาน้อยใจหนักกว่าเดิม “เทียบไม่ติดหรอกค่ะ เพราะพระเอกในเรื่องนั้นเค้าคิดเอง ทำจากใจของเค้าจริงๆ”
นวัชจ๋อย “ก็พี่ไม่รู้จริงๆ นี่ ว่าจะทำยังไงให้ฐาหายโกรธได้ซะที”
นิษฐาน้ำตาคลอ เธอสะบัดหน้าพรืดเดินกลับเข้าบ้านไป
“ฐา” นวัชเรียก
นิษฐาเดินเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับมาอีก
นวัชบ่นพึมพำ “ตกลงงอนต่อ หรือไงเนี่ย” นวัชได้แต่ถอนใจส่ายหน้าเพราะไม่เข้าใจ

เช้าวันใหม่ เจติยาสะพายเป้เดินเข้าบริษัทมา พอเจอใครเธอก็ทักทายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ทันใดนั้นปริมก็เดินออกมาจากข้างใน พวกพนักงานเห็นปริมก็รีบไหว้ ปริมพยักหน้ารับแล้วเหล่มองเจติยาแบบเหยียดๆ แต่แล้วปริมก็เหลือบเห็นสร้อยคอของเจติยาเข้า ปริมรีบปรี่เข้าไปดูสร้อยของเจติยาท่ามกลางความตกใจของทุกคน
ปริมจำได้ว่าเป็นสร้อยของชูจิตก็โมโห “เธอไปได้สร้อยนี้มาจากไหน”
เจติยาตอบด้วยความตกใจ “คุณท่านให้เจค่ะ”
ปริมริษยาขึ้นหน้า “โกหก สร้อยเส้นนี้คุณพ่อซื้อให้คุณแม่เป็นเส้นแรก ดีไซน์แบบนี้ฉันจำไม่ผิดหรอก คุณแม่หวงมาก เธอขโมยคุณแม่มาใช่มั้ย”
เจติยาโมโหจึงปัดมือปริมที่จับสร้อยอยู่ออกไป “ดูถูกกันเกินไปแล้วนะคะ”
“ถอดสร้อยมาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เจติยาจ้องหน้าปริม “คุณท่านให้ฉันแล้ว ถ้าคุณอยากได้ ก็ต้องไปขอจากคุณท่านก่อน ฉันไม่กล้าให้คุณโดยพลการหรอกค่ะ” เจติยาจะเดินไป
ปริมโมโหมาก “ฉันบอกให้ถอดมาไงล่ะ” ปริมเข้าไปพยายามดึงสร้อยออกจากคอเจติยา “ถอดมาเดี๋ยวนี้”
เจติยาปัดป้องไม่ยอมให้ปริมดึงออกไป ทั้งสองยื้อยุดกันจนเล็บของปริมข่วนเข้าที่คอของเจติยาเป็นแผล แถมสร้อยก็ถูกกระชากจนขาดทำให้ปริมเอาไปได้ เจติยาโกรธจัด เธอกำหมัด จ้องหน้าปริมเขม็งจนปริมก็เกรงไปเหมือนกันเมื่อเห็นเจติยาเอาจริงขึ้นมา
ปริมรีบเดินเลี่ยงไปอย่างเร็ว เจติยามองพนักงานที่ล้อมวงดูอยู่ด้วยตาขวาง พนักงานกระจัดกระจายกันออกไปด้วยความกลัว เจติยาถอนใจพรวดก่อนจะส่ายหน้าเซ็งๆ

ชูจิตหยิบสร้อยที่ขาดเส้นนั้นมายื่นให้ลาภิณ โดยมีปริมทำสีหน้าเคืองๆ อยู่ใกล้ๆ
ชูจิตพูดสีหน้านิ่ง “ต้นช่วยเอาสร้อยไปต่อ แล้วเอาไปคืนเจติยาให้ด้วย แม่ให้เค้าแล้ว ไม่อยากเสียคำพูด”
ลาภิณรับสร้อยมา “ครับคุณแม่”
ปริมริษยา “ทำไมคุณแม่ต้องให้สร้อยยัยนั่นด้วยคะ ไหนคุณแม่เคยบอกว่ารักสร้อยเส้นนี้มาก เพราะเป็นของขวัญชิ้นแรกที่คุณพ่อซื้อให้ไงคะ”
“แบบสร้อยเส้นนี้มันต้องเด็กสาวๆ ใส่ถึงจะสวย” ชูจิตบอก
“ปริมก็เคยขอคุณแม่ ขอซื้อต่อด้วยซ้ำแต่คุณแม่ไม่ให้” ปริมมีสีหน้าน้อยใจมาก
ชูจิตพูดหน้านิ่ง “ก็เจติยาเค้าช่วยชีวิตแม่เอาไว้แม่ก็เลยอยากให้ของตอบแทนเค้า ให้มากกว่านี้เค้าไม่มีทางรับหรอก ต้นก็น่าจะรู้จักนิสัยเด็กคนนี้ดี”
“ครับแม่ แต่ผมว่าให้สร้อยเส้นนี้น้อยไปหน่อย มันมีคุณค่าทางจิตใจของคุณแม่ แต่ไม่ได้มีราคามากมายอะไร”
“แค่นี้เค้ายังจะไม่รับเลย” ชูจิตถอนใจ
ปริมขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจปนอิจฉาที่ชูจิตให้ความสำคัญเจติยามากขึ้นทุกที
ลาภิณไม่ค่อยสบายใจ “ปริมน่าจะมาถามคุณแม่ก่อน ไปมีเรื่องกับพนักงานแบบนี้ น่าอายจะตายไป”
ปริมโมโห “ถ้าพนักงานนั่นไม่ใช่เจติยา คุณต้นจะว่าปริมยังงี้รึเปล่าคะ”
ลาภิณไม่พอใจ “เอาอีกแล้วนะปริม”
ชูจิตพูดตัดบททันที “ต้นไปจัดการตามที่แม่สั่งได้แล้วจ้ะ”
“ครับคุณแม่” ลาภิณเดินออกไปจากห้อง
ปริมหงุดหงิด “ปริมกลับก่อนนะคะคุณแม่” ปริมไหว้ลาแล้วจะเดินออกไป
ชูจิตพูดขึ้น “ถึงรูปจะถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเรื่องไม่เคยเกิดขึ้นหรอกนะ”
ปริมตกใจมากจนหน้าเสียแต่พยายามเก็บอาการ “คุณแม่พูดเรื่องอะไรคะ”
ชูจิตยิ้มเย็นชา “ช่างเถอะ จะรีบกลับไม่ใช่เหรอะ” ชูจิตก้มหน้าทำงานต่อ
ปริมหน้าซีดเผือดและหายใจไม่ทั่วท้อง เธอรีบเดินออกไปจากห้องทันที

ทวีทายาที่แผลที่คอให้เจติยา โดยมีโอ้เอ้อยู่ใกล้ๆ
เจติยาแสบแผล “โอ๊ย แสบค่ะลุง”
“ทายาแค่นี้ทำใจเสาะไปได้” ทวีว่า
“นั่นสิลุง ไปบู๊กับโจร โดดลงทะเลมาแล้ว แค่นี้มาทำร้องโอดโอย” โอ้เอ้แซว
“ไม่รู้อะไรอย่าทำมาพูดเลยโอ้เอ้ พี่ได้สู้กะใครที่ไหน หนีอย่างเดียวก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว”
ลาภิณเดินเข้ามาในห้อง ทุกคนหันไปมอง
ลาภิณพูดกับเจติยา “คุณแม่ให้ฉันเอาสร้อยไปต่อให้ เสร็จเมื่อไหร่ฉันจะเอามาคืนให้เธอนะ”
เจติยาเซ็ง “งั้นฝากคุณคืนคุณท่านไปเลยได้มั้ยคะ ฉันไม่อยากมีปัญหากับคุณปริมอีก”
โอ้เอ้กระเซ้า “คราวนี้โดนเล็บข่วน คราวหน้าสงสัยจะโดนปาดคอ”
ทวีดุ “ไอ้โอ้เอ้ เดี๋ยวจับเย็บปากซะเลย” ทวีรีบหันไปพูดกับลาภิณ “ขอโทษด้วยนะครับคุณต้น”
ลาภิณยิ้มจ๋อยๆ “ไม่เป็นไรครับลุง โอ้เอ้เค้ามีสิทธิ์คิดแบบนั้นได้ปริมเค้าผิดจริงๆ ผมก็อยากมาขอโทษเจเค้าเรื่องนี้เหมือนกัน” ลาภิณหันไปพูดกับเจติยา “ขอโทษแทนปริมด้วยนะ แต่เรื่องสร้อย คุณแม่ยังยืนยันอยากให้เธอเก็บเอาไว้ อย่าปฏิเสธน้ำใจท่านเลยนะ”
“จะดีเหรอคะ คุณปริมเธอไม่พอใจมากบอกว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของขวัญชิ้นแรกที่คุณสารัชซื้อให้คุณท่าน”
“โอ้โห ของสำคัญขนาดเนี้ย ไหงคุณชูจิตถึงมายกให้พี่เจล่ะครับ หรือว่าอยากบอกอะไรรึเปล่า” โอ้เอ้สงสัย
ทวียัดสำลีเข้าปากโอ้เอ้ทันที
“พูดมากนัก” ทวีเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน
โอ้เอ้ถุยออกมา “ลุงอ้ะ แหวะ...เช็ดศพมารึยังเนี่ย” โอ้เอ้รีบไปล้างปากที่อ่างน้ำ
เจติยาและลาภิณสบตากันเล็กน้อย เจติยารีบหลบสายตาไป
ลาภิณยักไหล่แล้วตัดบท “คุณแม่คงตั้งใจตอบแทนน้ำใจเธอจริงๆ รับไว้เถอะนะ”
เจติยาจำใจ “ค่ะ” ลึกๆ เจติยาก็ยังแอบแปลกใจที่ชูจิตให้ความสำคัญเธอขนาดนี้
“ว่าง่ายยังงี้ คนกลางอย่างฉัน ค่อยสบายใจหน่อย” ลาภิณยิ้มสบายใจให้เจติยา
เจติยาไม่กล้าสู้หน้าและรับยิ้มลาภิณ เธอเดินเลี่ยงไปเก็บอุปกรณ์ทำแผลแก้เก้อ

พิสัยลงจากรถที่จอดที่ลานจอดรถพร้อมคุยโทรศัพท์มือถือมาด้วย
พิสัยคุยมือถืออย่างหงุดหงิด “มาถึงแล้ว จะให้เซ็นอะไรก็เตรียมไว้ให้พร้อมเลย ฉันจะมาให้วันนี้วันเดียว” พิสัยกดตัดสายอย่างหัวเสีย แล้วจะเดินเข้าตึกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นปราณยืนดักรออยู่
ปราณยิ้มขำ “เรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่าหัวเสียเลยน่า มาตกลงเรื่องของเราดีกว่า” ปราณเดินไปหาพิสัย “ถ้าแกช่วยฉัน แกจะได้มากกว่าที่แกมีอยู่เป็นร้อยเป็นพันเท่า”
“แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร ผู้วิเศษรึไง...บอกตามตรง ฉันไม่เชื่อเรื่องกล่องรากบุญอะไรที่แกพูดวันนั้น นิทานหลอกเด็ก”
ปราณยิ้มหยัน “แกเชื่อเรื่องพลังจิตมั้ยล่ะ ฉันเป็นผู้มีสัมผัสพิเศษมีอำนาจมากมายกว่าที่แกจะคิดได้ ที่ฉันพิสูจน์ให้แกเห็นคราวก่อน ยังไม่พออีกรึไง”
พิสัยนิ่งไป ลึกๆ เขาก็กลัว แต่ก็แอบมีสีหน้าเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “ถ้าแกมีอำนาจขนาดนั้นจริง ช่วยให้ฉันไม่ต้องตกงานจากที่นี่ได้มั้ยล่ะ”
ปราณสะแหยะยิ้ม อย่างรู้ทัน “เตรียมรับโทรศัพท์”
พิสัยงงๆ เขาจะอ้าปากพูด แต่เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้นมาซะก่อน
พิสัยหยิบมือถือมาดูเบอร์ก่อนจะกดรับสาย “ครับพี่จิต...” พิสัยฟัง “อยู่ที่ลานจอดรถครับ...ครับ จะขึ้นไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” พิสัยกดตัดสายก่อนจะหันกลับไปมองทางปราณแต่ปราณก็ไม่อยู่แล้ว

ชูจิตกำลังคุยกับพิสัยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในห้องทำงาน
ชูจิตหน้าเครียด “โครงการร่วมลงทุนนี่ เธอเป็นคนบุกเบิกมาตั้งแต่แรก ถ้าเธอไม่สานต่อ นักลุงทุนก็คงขาดความมั่นใจ”
พิสัยดีใจมาก “ขอบคุณมากครับพี่จิตที่ให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมจะทำงานเต็มที่ไม่ให้พี่ผิดหวังเลยครับ”
ชูจิตหน้านิ่ง “อย่าเพิ่งดีใจไปพิสัย เธอเป็นคนรับผิดชอบงานนี้ก็จริง แต่ก็แค่หุ่นเชิด เธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรทั้งนั้น การที่พี่ยังไม่ให้เธอออก ไม่ได้หมายความว่าพี่อภัยให้เธอแล้ว”
พิสัยปั้นหน้าเศร้า “ผมทราบครับพี่จิต ผมไม่กล้าหวังถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
ทันใดนั้นพิสัยก็ได้ยินเสียงปราณก้องอยู่ในหัว
“เชื่อรึยังว่าฉันทำได้”
พิสัยหันไปมองรอบๆ อย่างหน้าเสีย
เสียงปราณดังก้อง “อย่าลืมสัญญาของเรา”
พิสัยยังคงกวาดตามองไปข้างๆ
ชูจิตแปลกใจ “มีอะไรพิสัย”
“เปล่าครับ”
พิสัยทำไม่รู้ไม่ชี้แต่แอบยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เพราะชักจะเชื่อในพลังจิตพิเศษของปราณขึ้นมาแล้ว

เจติยาเดินสะพายเป้กลับเข้ามาในบ้านแต่ประตูโถงบ้านเจติยาปิดสนิทจนผิดปกติ เจติยาบิดลูกบิดจึงพบว่าประตูล็อคเปิดไม่ออก เธอมองไปที่พื้นก็เห็นรองเท้านักเรียนของนที และรองเท้าของมยุรีอยู่ครบ
เจติยาแปลกใจ “รองเท้าก็อยู่ แล้วล็อคบ้านทำไมเนี่ย”
เจติยาเปิดเป้ หยิบกุญแจออกมาไขประตูโถงเข้าไป
“แม่คะ ล็อคประตูบ้านทำไม...” เจติยาตกใจ “แม่ นที”
มยุรีและนทีถูกจับมัดมีผ้าปิดปากนั่งอยู่กับพื้นบ้าน เจติยารีบเข้าไปแก้มัดทันที
มยุรีห่วงลูก “รีบหนีเร็วเจ มีโจรปล้นบ้าน”
“จะหนีทำไมล่ะแม่ โทรตามตำรวจมาจับมันสิ มันยังอยู่ข้างบนเลย” นทีบอก
ทันใดนั้น โจร 2 คนซึ่งเป็นลูกน้องพิสัยก็เดินถือกล่องรากบุญลงมาจากชั้นบน ลูกน้องพิสัยเห็นเจติยามาช่วยแก้มัดนทีกับมยุรีได้ก็ตกใจ
เจติยาเห็นกล่องรากบุญก็ตกใจมาก “แกจะเอากล่องนั่นไปไหน เอาไปไม่ได้นะ”
ลูกน้องพิสัยตกใจรีบวิ่งหนีออกไปจากบ้านทันที เจติยารีบวิ่งกวดตามออกไปติดๆ
มยุรีเป็นห่วงจึงรีบลุกตามไปหน้าประตู “เจ อย่าตามไปลูก เจ...”

เจติยาวิ่งไล่ลูกน้องทั้งสองของพิสัยมาตามซอย ลูกน้องพิสัยพยายามวิ่งหนี แต่เจติยาก็วิ่งตาม
ไม่ลดละ ลูกน้องพิสัยวิ่งหนีจนเหนื่อยหอบ ทันใดนั้นปราณก็เดินเข้าขวางหน้าลูกน้องพิสัยเอาไว้
ลูกน้องพิสัยเหนื่อยหอบ “ได้ของมาแล้วครับ” ลูกน้องพิสัยยื่นกล่องรากบุญให้
ปราณรับกล่องมาพร้อมกับยิ้มพอใจ “ทำดีมาก แล้วฉันจะบอกพิสัยให้ตบรางวัลพวกแก”
ทันใดนั้นเจติยาก็ตามมาถึงพอดี
“คืนกล่องมานะ” เจติยาตกใจที่เห็นปราณ “คุณ...”
ปราณสั่งลูกน้องพิสัยทั้งสองคน “ไปได้แล้ว”
ลูกน้องพิสัยรีบวิ่งหนีไปทันที
“คุณขโมยกล่องไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าของกล่องมีได้คนเดียวเท่านั้น แล้วกล่องจะเปลี่ยนมือได้ ก็ต่อเมื่อฉันเอ่ยปากสละมัน หรือไม่ก็ยกกล่องให้คนอื่น ซึ่งฉันจะไม่ยอมทำทั้งสองอย่าง”
“ยังมีอย่างที่สามเจติยา” ปราณมองเจติยาด้วยสายตาน่ากลัว “ถ้าเธอตาย กล่องก็เป็นอิสระ”
เจติยาอึ้งไปครู่ ก่อนจะยิ้มเล็กๆ “ฉันรู้แต่คงมีเหตุผลบางอย่างที่คุณไม่ฆ่าฉัน ไม่งั้นคุณคงทำไปแล้วล่ะ ไม่เลือกที่จะขโมยมันมาหรอก”
ปราณยิ้มขำ “ฉันเสียดายเธอจริงๆเจติยา เธอแตกต่างจากเจ้าของกล่องทุกคนที่ผ่านมา แต่มีสิ่งที่เธอพูดผิดอยู่อย่างนะ ฉันไม่ได้ขโมยเพราะฉันเป็นเจ้าของกล่องอยู่เสมอ”
“ไม่จริง ถ้าคุณเป็นเจ้าของมัน คุณจะขโมยมันออกมาทำไม”
“เพราะฉันต้องการจะบอกเธอน่ะสิ ว่าถ้าเธอยังดื้อรั้นไม่ยอมสละความเป็นเจ้าของกล่อง” ปราณมีสีหน้าแววตาอำมหิต “คนใกล้ตัวเธอทุกคนจะต้องเดือดร้อน เหมือนที่แม่กับน้องเธอโดนวันนี้”
เจติยาโมโห จ้องหน้าปราณแล้วฮึดสู้ “ฉันไม่มีวันให้กล่องกับแกเด็ดขาด”
เจติยาเข้าไปดึงกล่องจากมือปราณทันที ปราณดึงกล่องไว้ไม่ยอมให้เจติยาดึงคืนไป
ทันใดนั้น มือของปราณที่จับกล่องอยู่ก็ร้อนจนกลายเป็นสีแดงก่ำ ปราณเจ็บปวดสุดๆ จนยอมปล่อยกล่อง เจติยาผงะหงายหลังล้มไปกับพื้นทันทีที่ปราณปล่อยกล่อง พอเจติยาตั้งหลักได้ก็เงยหน้ามองหาปราณแต่ก็ไม่เห็นแล้ว เจติยากอดกล่องรากบุญไว้แน่นพร้อมกับกวาดตามองหาปราณแต่ก็ไม่เจอ เจติยามีสีหน้าแปลกใจกับการปรากฎตัวของปราณเป็นที่สุด

ปราณยืนมองออกไปนอกหน้าต่างห้องของพิสัยด้วยสีหน้าอำมหิต พิสัยเดินเซ็งๆมานั่งที่โซฟา
พิสัยพูดอย่างเซ็งๆ “ไม่รู้จะยุ่งยากอะไรนักหนา ถ้าอยากได้กล่องนั่นมากขนาดนี้ ก็ส่งคนไปเก็บนังเด็กนั่นซะก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องรอให้มันยอมยกให้เองเลย”
ปราณหันไปพูดกับพิสัย “ถ้าทำแบบนั้นได้ คงมีการฆ่าชิงกล่องรากบุญกันรายวัน”
พิสัยยักไหล่ไม่แคร์ “ใครดีใครได้ก็ถูกต้องแล้วนี่”
“แต่คนที่ฆ่าเจ้าของกล่อง จะไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของคนต่อไป เพราะเจ้าของกล่องจะต้องตายตามอายุขัย หรือไม่ก็ต้องตายเพราะทำงานที่วิญญาณร้องขอไม่สำเร็จเท่านั้น” ปราณบอก
พิสัยถอนใจเซ็งๆ “กฎเกณฑ์ยุ่งยากวุ่นวายซะเหลือเกิน”
“แต่นายก็จำเป็นต้องรู้เอาไว้ ถ้าอยากเป็นเจ้าของกล่องคนต่อไป”
“ก็ขอให้กล่องมันวิเศษจริงๆ อย่างที่นายอวดอ้างเถอะ สรุปว่าแค่ทำให้เจติยาสละความเป็นเจ้าของ หรือไม่ก็ยกกล่องให้ฉันก็พอใช่มั้ย”
“ใช่ ฉันเคยพยายามหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จซะที” ปราณเจ็บใจ “จิตใจของเจติยาเที่ยงตรงและกล้าหาญเกินไป”
พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้าบังคับข่มขู่แล้วไม่สำเร็จ ก็ใช้ไม้นวมซิ”
ปราณมองพิสัยด้วยความสงสัย พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยความมั่นใจ

เจติยาถือกล่องรากบุญที่มีเหรียญติดอยู่สองเหรียญและมองดูกล่องรากบุญด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะยิ่งนานเธอก็ยิ่งกลัวกล่องรากบุญมากขึ้นทุกที
เจติยาเครียด “อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วฉันก็จะไม่ต้องเห็นแกอีก”
กล่องรากบุญในมือเจติยาส่งแสงแวววาวขึ้นมาเหมือนไม่พอใจความคิดของเจติยา

เช้าวันรุ่งขึ้น เจติยายืนคอยน้องชายด้วยความหงุดหงิดอยู่ที่หน้าบ้าน เธอเหลือบดูนาฬิกาแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ สักพักนทีในชุดนักเรียนก็เดินเซ็งๆออกมาจากข้างในบ้าน
เจติยาหงุดหงิด “ทำไมช้านักล่ะ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก”
นทีเซ็ง “สายนิดสายหน่อยจะเป็นอะไร อย่าเว่อร์ไปหน่อยเลยพี่เจ”
เจติยาหงุดหงิด “คนเราต้องมีความรับผิดชอบ ต้องตรงต่อเวลา ไม่ควรเพาะนิสัยไม่ดีตั้งแต่ตัวเท่านี้”
นทีเอามืออุดหูแล้วเดินหนีเจติยาไป
เจติยาโมโห “นที อย่ามาทำแบบนี้กับพี่นะ” เจติยาจะเดินตาม
ทันใดนั้นพิสัยก็ขับรถเข้ามาหาเจติยา เจติยางงเล็กน้อย
พิสัยลงจากรถแล้วยิ้มทักทาย “มอร์นิ่ง”
เจติยานึกไม่ถึงแต่ก็ยกมือไหว้ “คุณพิสัยมีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ”
“เปล่าหรอก ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวานมีโจรขึ้นบ้านเธอ ฉันเป็นห่วงก็เลยแวะมาดู”
เจติยาทั้งอึ้งทั้งงง “คุณรู้ได้ยังไงคะ”
พิสัยยิ้ม “แค่เธอบอกกับร้อยเวรว่าทำงานที่นิราลัย เรื่องก็ถึงหูฉันแล้ว”
เจติยาหน้าขรึมเพราะไม่รู้พิสัยจะมาไม้ไหน
นทีเซ็ง “ไหนว่าไม่ควรไปสายไงพี่เจ แล้วเมื่อไหร่จะไปซะที”
พิสัยยิ้มใจดีให้นที “กำลังจะไปโรงเรียนเหรอ งั้นให้พี่ไปส่งแล้วกัน”
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันกับน้อง”
เจติยายังพูดไม่จบ นทีก็พูดสวนขึ้น “ขอบคุณครับพี่ นานๆจะได้นั่งรถหรูๆไปโรงเรียนซะที”
นทีเปิดประตูรถด้านหลังแล้วขึ้นไปนั่งหน้าตาเฉย พิสัยมองเจติยาแล้วยิ้มให้
“เธอต้องนั่งหน้านะ ถ้าไม่อยากให้ฉันต้องกลายเป็นคนขับรถประจำตัวของเธอ”
เจติยาเซ็งสุดๆ แต่ก็ต้องเลยตามเลย เธอเดินไปขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์เพราะไม่คิดว่านทีจะช่วยเปิดโอกาสให้เขาง่ายขนาดนี้

พิสัยขับรถพาเจติยาและนทีมาจอดหน้าโรงเรียน
นทีไหว้พิสัย “ขอบคุณครับพี่” นทีหันไปพูดกับเจติยา “พี่เจ ตังค์” นทีแบมือ
เจติยาควักเงินห้าสิบบาทยื่นให้นที “เอาไป ใช้เงินประหยัดๆหน่อยล่ะ ไม่ต้องกินให้หมดก็ได้”
พิสัยหัวเราะ “ห้าสิบบาทยังต้องให้ประหยัดอีกเหรอเจ ข้าวจานเดียวยังไม่พอเลย ถ้าน้องไม่อิ่มล่ะ” พิสัยหยิบแบงค์ห้าร้อยยื่นให้นที “อ้ะ พี่ให้”
นทีตาโตด้วยความดีใจ
เจติยารีบดึงแบงค์ห้าร้อยจากมือพิสัยมาทันที “ขอบคุณนะคะ แต่ฉันอยากให้น้องรู้จักประหยัดมากกว่า” เจติยาหันไปพูดกับนที “ไปเรียนได้แล้วนที”

อ่านละคร รากบุญ วันที่ 27 พ.ย. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager