อ่านละคร รากบุญ2 ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 10/2 วันที่ 20 ก.ค. 57
“กลัวขนาดนี้ ยังอุตส่าห์มีคำถามอีกนะ เธอกับพี่สาวนี่ช่างเหมือนกันซะจริงๆ” กสิณจ้องหน้านที “ฉันไม่มีเวลามาตอบคำถามเธอหรอกนะ เอาเป็นว่า ที่ฉันมาหาเธอ ก็เพราะฉันอยากจะให้บทเรียนคนดื้อหัวรั้นอย่างพี่สาวเธอ”นทีรู้สึกกลัวแต่ก็ห่วงพี่กลั้นใจถามกสิณต่อ “แกจะทำอะไรพี่เจ”
กสิณพูดด้วยแววตาชิงชัง ดุดัน “ฉันจะทำให้เค้ารู้ว่า แค่ความดันทุรัง มันเอาชนะฉันไม่ได้หรอก” กสิณเดินพูดไปรอบๆตัวนที นทีขยับตัวไม่ได้ได้แต่กรอกตามองตามกสิณ
ขาดคำ นทีค่อยๆเดินช้าไปที่คลองอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ นทีพยายามจะไม่ไป แต่ขาตัวเองก็ก้าวออกไป โดยไม่ยอมฟังคำสั่ง นทีพยายามจะตะโกนให้คนช่วย “ช่วยด้วย”
นทีพูดได้แค่นั้น ก็พูดไม่ออก ค่อยๆเดินช้าๆไปที่คลอง
ด้านเจติยาเดินเข้ามาในวัด กะมาตามหานทีเพื่อพูดคุยด้วยตามที่แม่ขอ เจติยาเหลือบไปเห็น นทีกำลังเดินลงไปในคลอง ก่อนจะจมหายลงไปในคลองต่อหน้าต่อตา เจติยาตกใจสุดขีด เจติยามองไม่เห็นกสิณ
“นที” เจติยารีบวิ่งไปที่คลองก่อนจะกระโจนลงน้ำตามไปช่วยนทีทันที
เจติยาดำดิ่งลงไปในคลอง แล้วพยายามแหวกว่ายตามหา เจติยามองหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนที เจติยาพุ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อหายใจให้เต็มปอด ก่อนจะดำดิ่งลงไปใต้น้ำอีกครั้งเพื่อหาตัวน้องชาย เจติยาดำผุดดำว่ายจนเหลือบเห็นนทีจมน้ำนิ่งไม่ได้สติ อยู่ที่ใต้น้ำ เจติยาแหวกว่ายเข้าไปหานที แต่ทันใดนั้น ก็มีมือจำนวนมากโผล่ออกมาจับตัวเจติยาไว้
เจติยาตกใจพยายามจะดิ้น แต่ไม่สำเร็จ มือจำนวนมากจับเจติยาไว้แน่น จนตัวเจติยาเองจะหายใจไม่ออก ขณะนั้นเอง กสิณก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเจติยา
“ขอพรสิเจติยา เพียงแค่เธออธิษฐานในใจขอพรจากเหรียญ ทั้งเธอทั้งน้องชายของเธอก็จะปลอดภัย” เจติยาขบกรามแน่น สายตาเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ “ยังคิดจะสู้อีกเหรอ ไม่มีประโยชน์หรอก อีกไม่นาน เธอกับน้องต้องขาดอากาศหายใจตายแน่ มีแต่เหรียญเท่านั้น ที่จะช่วยเธอได้”
เจติยาพยายามดิ้น ก็ไม่สำเร็จ เห็นนทีนิ่งไม่ได้สติ เจติยาก็ยิ่งร้อนใจ ทันใดนั้นเอง เจติยาก็ฉุกคิดขึ้น เลยหลับตาตั้งสติทำสมาธิ ไม่นานนักพอจิตสงบ ก็มีแสงรัศมีสีขาวอออกจากร่างของเจติยา พลังที่ยมทูตให้ไว้ คุ้มครองเจติยาทันทีที่เจติยามีสมาธิ
มือจำนวนมากที่จับตัวเจติยาอยู่ พอถูกแสงสีขาวก็รีบปล่อยทันที กสิณตกใจ จะเข้าไปบีบคอเจติยา แต่กลับถูกแสงสีขาวผลักออกมา กสิณร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เจอพลังของเจติยาทำร้ายอีกครั้ง จนกสิณต้องสลายตัวกลืนไปกับมวลน้ำหายไป เจติยาจัดการกสิณได้ ก็รีบดำน้ำลงไปช่วยนทีขึ้นมาทันที
เจติยาดึงน้องโผล่พ้นผิวน้ำ แล้วพยายามว่ายน้ำพานทีมาที่ศาลา ก่อนที่จะลากตัวนทีขึ้นมาที่ศาลาจนได้ เจติยาเขย่าตัวนทีเรียก “นทีๆ”
นทียังคงไม่รู้สึกตัวเพราะกินน้ำเข้าไปมากสลบไม่ได้สติ เจติยาตกใจสติพยายามจะกดที่ท้องของนที เพื่อให้สำลักน้ำออกมา
ทันใดนั้นก้องก็เข้ามาช่วยทันท่วงที “ถอยไปครับ คุณทำผิดวิธี” ก้องเข้ามาถึง ก็จับนทีนอนหงาย แล้วทำการกดหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับการผายปอดแบบเม๊าท์ทูเม๊าท์ 2 ครั้ง เพียงครู่หนึ่ง นทีก็ไอโขลกออกมา พร้อมกับสามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง ก้องเป่าปากโล่งอก
เจติยาดีใจมาก “นที เป็นยังไงบ้าง”
นทีลืมตามองเจติยา แต่ยังอ่อนแรงอยู่ พูดไม่ออก เจติยายิ้มอย่างดีใจที่นทีปลอดภัยแล้ว
เจติยา และมยุรี ช่วยกันประคองนทีเข้ามานอนพักที่โซฟาในโถงบ้าน ก้องเดินตามหลังมา
“ขอบคุณมากนะคะ โชคดีจริงๆที่คุณบังเอิญอยู่ที่วัดพอดี ไม่อย่างงั้นนทีคงแย่แน่”
“ก็ไม่เชิงบังเอิญหรอกครับ ผมจะแวะมาคุยเรื่องพ่อกับคุณเจ พอดีหาบ้านไม่เจอ ก็เลยถามคนแถวนี้เลยรู้ว่าคุณเจไปที่วัด ผมก็เลยตามไป”
เจติยาสงสัยอยากรู้ “คุณก้องมีเรื่องอะไรอยากคุยกับฉันเหรอคะ”
ก้องมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้จะเริ่มเล่าตั้งแต่ตรงไหนดี
เจติยาเดินคุยมากับก้องมาตามละแวกบ้าน
“ผมก็เพิ่งทราบนี่ล่ะครับ ว่าพ่อเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ถึงไม่โดนระเบิด พ่อก็คงไม่รอดอยู่ดี ที่พ่อทำพินัยกรรม ก็คงเพราะอยากให้ทุกอย่างเรียบร้อยมั้งครับ”
เจติยาคิดทบทวนในสิ่งที่ก้องบอกทำให้ยิ่งสงสัยหนักขึ้น “งั้นก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่”
“ทำไมครับ”
“คือฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงนะคะ แต่ฉันว่ามันมีอะไรไม่สมเหตุสมผลหลายๆอย่าง”
“ผมว่าที่แปลกสุด คือคุณมากกว่ามั้ง ตกลง คุณรู้จักคุณพ่อผมได้ยังไง ยังไม่เห็นคุณเล่าให้ฟังเลย”
“ฉันต้องเล่าให้คุณฟังแน่ค่ะ แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องที่ฉันไม่แน่ใจอีกหลายอย่าง เล่าไปตอนนี้ คุณก็คงไม่เชื่อหรอกค่ะ”
ก้องนิ่งคิดอยู่ครู่นึง ก้องไม่ได้อยากบังคับเจติยาจึงตกลง “โอ.เค. คุณพร้อมเมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยเรื่องนี้ก็แล้วกัน แต่ยังไง ก็ต้องขอบใจนะ ที่คุณช่วยเป็นธุระให้พ่อผม”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“งั้นผมไม่กวนเวลาคุณแล้วล่ะ” ก้องยกมือไหว้ลาเจติยารับไหว้ ก้องกลับไป
เจติยามองตามก้องไป ขณะนั้นเอง ก็เห็นกัมปนาทเดินทะลุตัวก้องเข้ามาหาตน เจติยาจ้องหน้ากัมปนาทคาดคั้น “คุณจะพูดความจริงกับฉันได้รึยัง”
“ฉันไปโกหกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่ต้นเลยล่ะค่ะ ทำไมคุณไม่บอกว่าคุณเป็นมะเร็ง”
“ฉันตายเพราะระเบิด ไม่ได้ตายเพราะมะเร็ง หน้าที่ของเธอ คือหาตัวฆาตกรออกมา เรื่องอื่นไม่ต้องยุ่งหรอกน่ะ”
เจติยามองกัมปนาทด้วยสายตาระแวง “ฉันว่าที่คุณปิดบังฉัน เพราะหวังผลอะไรซักอย่างมากกว่า”
“ตกลงจะจับผิด หรือจะทำงาน อย่าลืมนะ ว่าเธอหาตัวฆาตกรได้เร็วเท่าไหร่ ฉันก็ไปจากเธอเร็วเท่านั้น”
เจติยาถอนใจ “ฉันยังมืดแปดด้านอยู่เลย ตำรวจก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรใหม่ แล้วฉันจะไปช่วยคุณได้ยังไงล่ะคะ”
“ฉันสงสัยคนอยู่ 3-4 คน ถ้าฉันตาย พวกมันจะได้ประโยชน์” เจติยาฟังแล้วคิดตามอย่างกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ “เธอไปบอกตำรวจให้หน่อยสิ ฉันว่าต้องมีใครซักคนในกลุ่มนี้แหละ ที่ฆ่าฉัน ดีไม่ดีมันอาจจะลงขันร่วมมือกันฆ่าฉันก็ได้”
ตำรวจควบคุมตัวลูกน้องกัมปนาท 3-4 คนมาสอบปากคำ แต่ละคนเป็นลูกน้องระดับมันสมองของกัมปนาทกันทั้งนั้น
นวัชกำลังคุยโทรศัพท์มือถือกับเจติยา “พี่เชิญมาสอบปากคำตามที่เจได้เบาะแสมาแล้วนะ”
ขณะนั้นเอง ก็มีตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาหานวัช “ผู้กองครับ มีผู้หญิงมารอพบ บอกว่าชื่อ...”
นวัชตกใจ รีบยกมือห้าม เบี่ยงตัวขยับไปคุยตัดบทเจ “เจ แค่นี้ก่อนนะ พี่มีงานพอดี หวัดดีจ้ะ” นวัชรีบกดวางสายด้วยสีหน้าท่าทางกังวลๆ “ขอบใจนะจ่า อยู่ที่หน้าโรงพักใช่มั้ย”
“ครับ”
นวัชรีบร้อนเดินออกไปด้วยท่าทางมีพิรุธ
เจติยากำลังเดินมาตามทางภายในนิราลัย เลยเจอกับอยุทธ์ที่กำลังกดน้ำกินอยู่พอดี
อยุทธ์ยิ้มทักทาย “มาเข้าเวรเหรอครับคุณเจ”
“ค่ะ เอ๊ะ วันนี้เวรลุงทวีไม่ใช่เหรอคะ”
“ครับ พอดีลุงเค้าติดธุระ ก็เลยแลกเวรกับผมน่ะครับ ลุงเค้าจะมาเข้าเวรต่อจากคุณเจแทน”
“อุ๊ย งั้นขอโทษด้วยนะคะที่มาเปลี่ยนเวรช้าไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ สายแค่ห้านาทีเอง ตอนนี้ก็ยังไม่มีศพใหม่เข้ามาด้วย”
ขณะนั้นเอง อยุทธ์ก็เหลือบเห็นลาภิณและพิมพ์อรเดินจับมือคุยกันมา ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนคนรักกันไม่มีผิด แต่เจติยามองไม่เห็นลาภิณ อยุทธ์มองทั้งคู่ด้วยสายตาไม่พอใจ
ลาภิณชะงักเมื่อเห็นเจติยากำลังยืนคุยกับอยุทธ์อยู่ อยุทธ์ได้ทีกลัวเจติยาหันไปเห็นลาภิณเลยรีบฟอร์ม “คุณเจ อยู่นิ่งๆนะครับ มีตัวอะไรเกาะผมคุณเจอยู่ก็ไม่รู้ เดี๋ยวผมเอาออกให้ครับ”
เจติยารู้สึกแหยงๆ “ตัวอะไรคะ อย่าบอกนะว่าแมงมุม”
เจติยายืนนิ่ง ให้อยุทธ์จับออกให้ ด้วยท่าทางที่กลัวมากจนขนลุก
อยุทธ์แกล้งลูบผมเจติยาเหมือนจะหาอะไรซักอย่าง แต่ดูเผินๆก็เหมือนคนกำลังจู๋จี๋กันมีจับผมลูบผมดูสนิทสนม
ลาภิณหน้าตึงขบกรามแน่นด้วยความหึงหวงเต็มเปี่ยม ในขณะที่พิมพ์อรตกใจที่เห็นน้องชายทำแบบนี้ ลาภิณไม่พูดแม้แต่คำเดียว รีบเดินเลี่ยงไปด้วยความโมโหหึงทันที พิมพ์อรได้แต่มองตามด้วยความตกใจกับท่าทางของลาภิณ
เจติยามองไม่เห็นลาภิณร้องถามอยุทธ์ท่าทางแหยงๆและกลัวๆ “ปัดออกไปเลยค่ะ ขนลุกขึ้นหัวแล้ว”
“เศษใบไม้ครับ ไม่ใช่แมงมุม”
เจติยาโล่งอก “โอ๊ย โล่งอกไปที ขอบคุณค่ะ อย่าบอกใครนะคะว่าเจกลัวแมงมุม ความลับสุดยอด”
“ครับ”
เจติยาเดินเลี่ยงไป อยุทธ์หันไปมองพี่สาวที่จ้องเขม็งมาทางตนด้วยความไม่พอใจในสิ่งที่น้องชายทำ
อยุทธ์เดินมาถึงหน้านิราลัย ทันใดนั้นรถของพิมพ์อร ก็เลี้ยวปราดเข้ามาขวางหน้าอยุทธ์ไว้
พิมพ์อรลงจากรถด้วยความโมโหทันที “เธอทำแบบนี้ต้องการอะไร”
“ทำไมครับ พี่กลัวว่าคุณต้นหึงคุณเจหนักๆเข้า แล้วจะกลับไปจำคุณเจได้รึไง”
“อย่ามาย้อนฉันนะ ฉันถามว่าต้องการอะไร”
“แล้วพี่ล่ะครับ ใช้อำนาจเหรียญบิดเบือนความทรงจำคุณต้นทำไม”
“ฉันไม่ได้ทำ ปิศาจที่อยู่ในเหรียญเป็นคนทำของมันเอง”
อยุทธ์จ้องหน้าพิมพ์อรนิ่ง “พี่เป็นเจ้าของเหรียญ ถ้าพี่ไม่เห็นด้วย พี่ก็แก้ไขให้เหมือนเดิมได้ แต่ที่พี่ไม่ทำ ก็เพราะพี่ต้องการให้เป็นแบบนี้ “ อยุทธ์พูดด้วยสีหน้าดูถูก “ผมไม่นึกเลยว่าพี่อรจะทำเรื่องทุเรศแบบนี้ได้”
ขาดคำ พิมพ์อรก็ตบหน้าอยุทธ์ทันที “แกเป็นน้องฉัน กล้าดียังไงมาด่าฉัน”
อยุทธ์จ้องหน้าพิมพ์อรเขม็ง พูดระบายความอัดอั้นออกมา “เป็นน้อง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องยอมให้พี่ทำเลวๆได้นี่ครับ ผมยอมพี่มามากแล้วไม่เคยสงสัยในตัวพี่เลย ถึงได้ถูกพี่หลอกเรื่องคุณพ่อมาตลอด ทั้งๆที่คุณพ่อให้อภัยผมตั้งนานแล้ว ผมจะไม่ยอมให้พี่อรทำลายครอบครัวคุณต้นกับคุณเจได้เด็ดขาด”
พิมพ์อรขบกรามแน่นด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะยิ้มเยาะออกมาอย่างรู้ทัน “อย่าทำเป็นคนดีไปหน่อยเลยอยุทธ์ ฉันเห็นสายตาเธอที่มองแม่นั่น ฉันก็รู้แล้วว่าเธอคิดยังไง เธอเองมันก็ไม่ต่างไปจากฉันหรอก”
อ่านละคร รากบุญ2 ตอน รอยรักแรงมาร ตอนที่ 10/2 วันที่ 20 ก.ค. 57
ละครรากบุญ2 บทประพันธ์โดย : ช่อมณีละครรากบุญ2 บทโทรทัศน์โดย : เอกลิขิต
ละครรากบุญ2 กำกับการแสดงโดย : ธรธร สิริพันธ์วราภรณ์
ละครรากบุญ2 ผลิตโดย : บริษัท ทีวีซีน แอนด์ พิคเจอร์ จำกัด
ละครรากบุญ2 ควบคุมการผลิตโดย : ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครรากบุญ2 ออกอากาศทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.15 น. ทางไทยทีวีสีช่อง 3
ละครรากบุญ2 เริ่มออกอากาศตอนแรก วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม 2557 นี้
ที่มา ไทยรัฐ