@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละครเรื่องลูกทาส วันที่ 27 มีนาคม 2557[4]

อ่านละครเรื่องลูกทาส วันที่ 27 มีนาคม 2557[4]

หลังจากแก้วกับลอยปรับความเข้าใจกันได้ ก็สนิทกัน ตอนเย็น แก้วเพิ่งกลับจากทำงานกับขุนประมวล และเดินคุยมากับลอย
"แม่ชมพู่เค้ามีใจให้ข้าอยู่แล้วโว้ย แต่ค่าสินสอดมันมากนัก ไม่ให้ฉุดแล้วจะทำยังไงวะ" ลอยว่า
"หาทางอื่นเถอะพี่ลอย ฉันจะช่วยคิดก็แล้วกัน แต่พี่ลอยอย่าไปฉุดคร่าเลย มันผิดกฎหมายบ้านเมือง"
ลอยเซ็งๆ

"เอ็งก็มีแต่กฎบัตรกฎหมายเหลือเกิน มิน่า ขุนประมวลถึงได้ชอบใจเอ็ง เออๆ ไม่ฉุดก็ไม่ฉุด ข้าจะไปบอกแม่ชมพู่ให้รอไปก่อนก็แล้วกัน แต่เอ็งต้องช่วยข้าจริงๆนาโว้ย"
"เอาหัวเป็นประกันเลยพี่ รับรอง ว่าพี่ต้องได้แต่งงานกับแม่ชมพู่แน่"
ทั้งคู่เดินขึ้นเรือนหมื่นลพไป เฉียวหู และเค้ง ที่แอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง เค้งมองตามแก้วไป
"ใช่ไอ้คนในภาพแน่ จัดการมันเลยตั่วกอ"


"ยังก่อน คนอย่างไอ้มาโนชใช้เรามาฆ่ามัน แสดงว่าคงไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายนัก รอโอกาสเหมาะกว่านี้ก่อน แล้วค่อยลงมือ"
ตอนหัวค่ำ มาโนชแต่งตัวเตรียมออกไปอยู่เวรตอนกลางคืน เขากำลังคุยกับไชยากรที่เชื่องซึม ไม่ค่อยสนใจที่มาโนชพูดนัก นิ่มนั่งเจียนใบพลูอยู่ใกล้ๆ

"เจ้าคุณพ่อต้องการให้กระผมตั้งใจรับราชการ จึงอยากเลื่อนการแต่งงานกับน้องน้ำทิพย์ออกไปก่อน คุณอาเห็นควรว่าอย่างไรขอรับ"
"สุดแล้วแต่พ่อมาโนชเถอะ อาไม่มีความเห็นอะไรดอก"
"ถ้าอย่างนั้น กระผมขอตัวไปเข้าเวรก่อนนะขอรับ"
มาโนชไหว้ลา ก่อนจะลุกออกไป เมื่อเห็นว่า มาโนชไปแล้ว นิ่มรีบเข้ามาหาสามีด้วยความดีใจ
"น่าแปลกนะคะ แต่ก่อนเห็นคุณมาโนชเร่งรัดเช้าเย็น จะแต่งงานกับคุณน้ำทิพย์ให้ได้ แล้วทำไมจู่ๆถึงมาขอเลื่อนเองก็ไม่รู้"
" ฉันไปนอนก่อนนะแม่นิ่ม"
ไชยากรตัดบท รู้ว่า การเลื่อนงานแต่งงาน เพราะตนสิ้นวาสนาแล้วนั่นเอง จังหวะที่ไชยากรจะเดินเลี่ยงไป แต่เกิดเวียนหัวจนตัวเซ ต้องจับฝาบ้านไว้ไม่ให้ล้ม นิ่มตกใจ รีบเข้าไปประคอง
"ท่านเจ้าคุณ เป็นอะไรไปคะ"
ไชยากร หน้าตาแดงก่ำเพราะพิษไข้ ช้ำใจ ตรอมใจจนไม่สบาย

ไชยากรนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง โดยมีน้ำทิพย์คอยเช็ดตัวให้ ส่วนนิ่ม และอบเชยยืนดูด้วยความเป็นห่วงอยู่ใกล้ๆ
"ตามหมอดีหรือไม่คะคุณน้ำทิพย์"
"คุณพ่อตัวร้อนไข้ขึ้นสูง แต่ไม่มีอาการอย่างอื่น ลองเช็ดตัวแล้วให้ทานยาฝรั่งดูก่อนแล้วกันจ้ะ ถ้าไม่ดีขึ้น วันพรุ่งค่อยตามหมอ"
อบเชยแกล้งพูดลอยๆ
"ตรอมใจอย่างนี้ หมอจะรักษาได้รึ"
นิ่มปราม
"อบเชย"
"หรือไม่จริงล่ะพี่นิ่ม พวกบ่าวไพร่มันเอาไปลือกัน ว่าคุณมาโนชเปลี่ยนใจเลื่อนงานแต่งออกไปแล้ว ท่านเจ้าคุณหวังจะได้กลับเข้ารับราชการอีก เจอเหตุผิดคาดเช่นนี้เข้า แล้วจะไม่ตรอมใจได้อย่างไร"
น้ำทิพย์หน้าขรึมลง แม้จะดีใจที่ไม่ต้องแต่งงาน แต่ก็ห่วงพ่อ เพราะรู้ว่าพ่อคงผิดหวังมาก นิ่มหน้าบึ้งตึงบอก
"ปากมากจริงเชียวแม่อบเชย ไป ไปช่วยพี่เตรียมหยูกยาให้ท่านเจ้าคุณดีกว่า"
นิ่มดึงอบเชยที่ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนักออกไป น้ำทิพย์กุมมือพ่อด้วยความสงสาร เพราะรู้ว่า พ่อคงผิดหวังจริงๆอย่างที่อบเชยว่า
น้ำทิพย์ลุกขึ้น ยกอ่างน้ำออกไปจากห้องเพื่อเปลี่ยนน้ำ ไชยากรลืมตา น้ำตาคลอเบ้า แกล้งหลับเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ ชีวิตตกต่ำจนถูกมาโนชกับพ่อดูถูกอย่างเจ็บปวด

เจ้าพระยารังสีฯ เดินนำพระยานิติธรรม กับ เจ้าคุณเดชารณภพเข้ามาในห้องรับแขก ด้วยสีหน้า
ยิ้มแย้มแจ่มใส
"ได้ยินชื่อท่านเจ้าคุณนิติธรรมมานานแล้ว ตัวจริงยังหนุ่มแน่นกว่าที่รู้มาเสียอีก เห็นที จะเป็นพระยาที่หนุ่มแน่นที่สุดในสยามกระมัง"
เจ้าคุณนิติธรรมธาดายิ้มบางๆ
"กระผมเองก็เคยได้ยินชื่อท่านเจ้าพระยามานานแล้วเหมือนกันขอรับ เพิ่งจะมีบุญได้มากราบวันนี้เอง"
เจ้าพระยารังสีฯ หัวเราะชอบใจ พอใจที่เจ้าคุณอ่อนน้อมถ่อมตน ขณะนั้นเอง ทาสหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาคุกเข่า แล้วคลานเข่าเข้ามาหา
"อ้าว นังเยื้อน คุณดาราล่ะ ทำไมยังไม่ลงมา"
"คุณดาราให้มากราบเรียนพระเดชพระคุณ ว่าคุณดาราไม่ชอบจับคลุมถุงชน แลจะไม่ลงมาพบท่านเจ้าคุณนิติธรรมธาดา ให้ท่านเจ้าคุณกลับไปเถิดเจ้าค่ะ"
ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายหน้าเสียขึ้นมาทันที เจ้าคุณนิติธรรมชะงักไป แต่ก็แอบอมยิ้มชอบใจที่คุณดาราไม่มาดูตัว
เจ้าคุณเดชารณภพปั้นยิ้มแก้เก้อ
"เอ่อ ท่านเจ้าพระยาขอรับ กระผมเห็นว่าถ้าหากไม่สะดวก ก็เอาไว้วันหลังค่อยพบปะกันก็ได้ขอรับ"
เจ้าพระยารังสีฯ หน้าเสีย เกรงใจมาก
Wใจเย็นๆก่อนท่านเจ้าคุณเดชา เดี๋ยวฉันไปคุยกับแม่ดาราก่อน"
เจ้าพระยารังสีฯจะลุกขึ้น แต่ขณะนั้นเอง คุณดาราก็เดินออกมาจากข้างในพอดี เธอเป็นคนสวยมาก แต่งตัวแบบยุโรป ท่าทางมั่นใจในตัวเองสูง
"อ้าว แม่ดารา ไหนนังเยื้อนมันบอกว่าลูกจะไม่ลงมาอย่างไรล่ะ"
"ตอนแรกลูกก็คิดเช่นนั้นค่ะ แต่พอลองทบทวนดู"
เธอหันไปมองพระยานิติธรรม แล้วยิ้มมั่นใจ ก่อนพูดต่อ
"ลูกเห็นว่าบุตรีเจ้าพระยารังสี หามี ความจำเป็นที่ต้องหลบหน้าใครไม่"
จากนั้น เธอก็พูดภาษาอังกฤษถามพระยานิติธรรม แปลความได้ว่า
"ฉันพูดถูกหรือไม่คะ ท่านเจ้าคุณนิติธรรมธาดา"
เจ้าคุณยิ้มบางๆ ก่อนตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ เช่นกัน
"ใช่ ฉันเห็นด้วยกับเธอ การหลบหน้าเป็นวิธีของคนขลาดเท่านั้น"
"ถ้าอย่างนั้น ก็ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
คุณดารายื่นมือออกให้จูบหลังมือตามธรรมเนียมตะวันตก พระยานิติธรรมนิ่งอยู่ครู่นึง รู้ว่า คุณดาราพูดอังกฤษเพราะต้องการลองภูมิ แต่แสดงการทักทายแบบตะวันตก เขาไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
"ฉันว่าการไหว้แบบธรรมเนียมของเรา ดูงดงามแลเหมาะควรกว่าธรรมเนียมของตะวันตกนะ"
คุณดารายิ้มขำๆ
"อะไรกันคะ คนเรียนเมืองนอกเมืองนามาแล้วอย่างท่านเจ้าคุณ ถือสาเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือคะ"
"เธออาจจะเห็นว่าฉันคร่ำครึ แต่ฉันถือว่าเป็นการให้เกียรติเธอ ชายหญิงเพิ่งพบหน้ากัน ก็แตะเนื้อต้องตัวกันแล้ว คนที่ จะถูกนินทา ก็ไม่แคล้วเป็นผู้หญิงดอก"
คุณดารานิ่งไป เถียงพระยานิติธรรมไม่ออก เจ้าคุณเดชารณภพยิ้มกริ่มพอใจลูกชาย ยิ่งเจ้าพระยารังสีฯยิ่งถูกใจสุดๆ

ผ่านเวลาสักครู่ พระยานิติธรรมเดินคุยมากับเจ้าคุณพ่อออกมาหน้าบ้าน
"พ่อล่ะโล่งอกเหลือเกินท่านเจ้าคุณ นึกว่างานดูตัวจะล่มเสียแล้ว"
เจ้าคุณนิติธรรมยิ้มขำ
"คุณดาราเธอเกิดแลโตที่เมืองฝรั่ง จึงมีความคิดไม่ต่างจากผู้หญิงฝรั่งนัก ข้อนี้อาจจะแปลกสำหรับคนสยามอยู่บ้าง แต่กระผมเคยชินเสียแล้ว จึงไม่ค่อยกระไรนักขอรับ"
"แล้วท่านเจ้าคุณ พอใจคุณดาราหรือไม่ล่ะ"
พระยานิติธรรมยิ้มๆ แล้วเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดรอ ไม่ยอมตอบคำถามพ่อ พระยาเดชรณภพถอนใจส่ายหน้าแอบหมั่นไส้ลูกชายก่อนจะตามไปขึ้นรถม้าไป

ที่หน้าต่างห้องนอนคุณดารา เธอมองรถม้าที่พระยานิติธรรมวิ่งออกไปแล้วยิ้มบาง ประทับใจในตัวพระยานิติธรรมไม่ใช่น้อย
เวลาบ่าย บริเวณหน้าที่ทำงานขุน แก้วกำลังยืนดูโลงศพที่เฉียวหูให้ชาวบ้านหามมาวางให้แก้วดู โดยมีลอยยืนมองด้วยความงุนงงอยู่ใกล้ๆ

ฝ่ายเฉียวหูแกล้งทำเหมือนพ่อค้า สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส รอบๆบริเวณที่ยืนมีน้ำเจิ่ง พื้นดินเปียก ประมาณว่าฝนเพิ่งตกไม่นาน
"นี่มันอะไรกันวะ ใครใช้ให้เอ็งหามโลงมาที่นี่"
เฉียวหูปั้นยิ้ม
"อั๊วไม่รู้จักดอก แต่อีจ้างอั๊วให้หามโลงมาให้คนชื่อแก้วดู ลื้อใช่อาแก้วหรือไม่ล่ะ"
"ฉันต่างหากที่ชื่อแก้ว คนที่จ้างเถ้าแก่มา เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง"
"ผู้ชาย อีแต่งตัวเหมือนพวกขุนนาง จ่ายเงินซื้อโลงแล้วก็ให้อั๊วหามมาให้ลื้อดู อียังฝากบอกด้วยนะ ว่าให้ลื้อลองนอนดูว่าชอบหรือไม่ แต่ถ้าลื้อไม่กล้า ก็ให้หาผ้าถุงมานุ่งแทนก็ได้"
ลอยโมโหมาก
"มันจะมากเกินไปแล้วโว้ย"
เฉียวหูแกล้งทำกลัว
"โอ๊ยๆ อั๊วไม่เกี่ยว อย่าทำอั๊ว อั๊วแค่พูดตามที่อีบอกเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นคนพูดเองนะ อย่าทำอั๊วเลย"
"ใจเย็นเถิดพี่ลอย เถ้าแก่คงไม่รู้เรื่องจริงๆ"
แก้วว่า แล้วชะงักไปเล็กน้อย เหมือนเห็นสิ่งผิดปกติ พื้นดินที่โลงวางอยู่ยุบลงไปเป็นรอยมากกว่าปกติ ถ้าเป็นโลงเปล่า ไม่น่าจะหนักขนาดนี้
"คนที่จ้างเถ้าแก่ เค้าให้ฉันลงไปนอนในโลงจริงรึ"
"จริง ลื้อจะให้อั๊วเปิดโลงดูหรือไม่ล่ะ"
แก้วยิ้มบางๆ
"ไม่ ฉันพอรู้แล้วว่าเป็นฝีมือใคร ...ไปกันเถอะพี่ลอย"
แก้ว และลอย หันหลังจะเดินกลับเข้าข้างใน เฉียวหูใช้มือเคาะโลงส่งสัญญาณ
ทันใดนั้น โลงก็เปิดออก เค้งลุกออกจากโลง แล้วใช้กรรไกรขาเดียวในมือ จ้วงแทงใส่แก้วทันที ท่ามกลางความตกใจของทุกคน แต่ก่อนที่กรรไกรจะปักลงบนตัวแก้ว แก้วก็พลิกตัวจับข้อมือของเค้งเอาไว้ได้ เพราะระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว
แก้วยิ้มเล็กน้อย
"ถ้าเป็นโลงเปล่า มันไม่หนักจนพื้นดินยุบเช่นนี้ดอก"
ขาดคำ แก้วก็เตะใส่เค้งจนกระเด็นไป เฉียวหูชักกรรไกรขาเดียวออกมา จะเข้าไปช่วย แต่ลอยตั้งสติได้ เลยตรงเข้าเตะต่อยสู้กับเฉียวหู ในขณะที่เค้งสู้กับแก้วอย่างดุเดือด
พวกข้าราชการและชาวบ้านเริ่มกรูกันออกมาดู เฉียวหูเห็นคนเยอะชักท่าไม่ดี แถมแก้วกับลอยยังเก่งเกินคาด เลยหยิบแป้งออกมาถุงหนึ่ง แล้วสะบัดใส่หน้าทั้งคู่ทันที
แก้ว และลอยกลัวแป้งเข้าตาแล้วถูกแทง เลยไม่กล้าเข้าไป รีบผงะถอยออกมา เค้งกับเฉียวหูเลยรีบหนีไปทันที

แก้วและลอย นั่งพับเพียบคุยกับหมื่นลพที่บนเรือนตอนหัวค่ำ
"ดีนะที่เอ็งมีไหวพริบ หาไม่คงถูกแทงตายไปแล้ว"
"แต่พวกมันก็อุกอาจนะขอรับ กลางวันแสกๆ ผู้คนก็ออกมาก แลยังเป็นที่ทำราชการอีก กระผมไม่เคยเห็นโจรกลุ่มใดร้ายกาจเท่านี้มาก่อนเลย" แก้วบอก
"พวกอั้งยี่จะไม่ร้ายกาจได้อย่างไร แต่ก่อน ข้าได้ยินว่าพวกมันรวมตัวกันก่อการ จนท่านสมเด็จเจ้าพระยาต้องยกทัพไปปราบด้วยซ้ำ"
แก้วสงสัย
"แล้วพี่ลอยรู้ได้อย่างไรว่าเป็นอั้งยี่"
"กรรไกรขาเดียวที่พวกมันใช้ เป็นอาวุธของพวกอั้งยี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่า เป็นกลุ่มใดเท่านั้นเอง ต่อไป เอ็งต้องระวังให้มากนะไอ้แก้ว ไอ้คนที่ผูกใจเจ็บเอ็ง คงไม่หยุดเท่านี้เป็นแน่"
"จริง แต่หากไอ้แก้วได้เป็นข้าราชการ พวกมันจะทำการใด ก็คงลำบากขึ้นอีกมาก" หมื่นลพว่า
แก้วแปลกใจ
"แล้วกระผมจะเป็นข้าราชการได้อย่างไรเล่าขอรับ ท่านหมื่น"
หมื่นลพ ยิ้มแย้ม หยิบจดหมายออกมา
"ท่านเจ้าคุณหลานชายข้า มีจดหมายมาบอก"
หมื่นลพยกมือไหว้ท่วมหัว แล้วพูดต่อ
"ว่าพระพุทธเจ้าหลวงท่าน ทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการ แลจะมีการสอบเข้ารับราชการเพิ่มขึ้นด้วย หากเอ็งสอบได้ เอ็งก็จะได้เป็นข้าราชการสมใจล่ะ ไอ้แก้ว"
แก้วดีใจมาก คิดไม่ถึงว่าความฝันของตนที่จะใช้วิชาความรู้ รับราชการทำประโยชน์ให้กับตัวเองและประเทศชาติจะเป็นจริงจนได้

ณ พระที่นั่งสมมุติเทวราช พระยานิติธรรมธาดาและขุนนางคนอื่นกำลังหมอบกราบอยู่กับพื้น ขุนนางคนหนึ่ง อ่านรายงานถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์
"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาการปกครองตามแบบประเทศตะวันตก และมีการทดลองใช้เป็นเวลาหลายปี จนได้ผลเป็นที่พอพระทัย ก่อนจะทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นเป็นครั้งแรก จำนวนสิบสองกระทรวง เมื่อวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2435 ซึ่งนับว่าเป็นการปฏิรูปการปกครองครั้งสำคัญของประเทศไทย"
พระยานิติธรรมธาดาและขุนนางคนอื่นๆ พากันก้มลงกราบถวายบังคม

ผ่านเวลาถึงเช้าวันหนึ่ง ภายในห้องทำงานเจ้าคุณ แก้วก้มลงกราบที่เท้าของพระยานิติธรรมธาดาที่ยืนอยู่ เจ้าคุณลูบหัวแก้วด้วยความชื่นชม
"ฉันไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ที่คอยสนับสนุนแก ในที่สุด แกก็พ้นจากการเป็นทาส มาเป็นข้าราชการจนได้"
แก้วซาบซึ้งใจสุดๆ
"ทั้งหมด ก็เป็นเพราะความเมตตาของท่านเจ้าคุณขอรับ หากท่านเจ้าคุณไม่คอยสั่งสอน อบรมให้ความรู้กระผม แลยังช่วยเหลือเกื้อกูลในยามที่กระผมตกระกำลำบาก ป่านนี้ไอ้แก้วคงตาย
ไปเสียนานแล้ว บุญคุณของท่านเจ้าคุณ ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกสักสิบชาติ ไอ้แก้วก็ใช้ไม่หมดขอรับ"
"หากแกอยากตอบแทนบุญคุณฉัน ก็ตั้งใจรับราชการให้ดีเถิด จำไว้ ว่าคนเป็นข้าราชการ จะถือเอาแต่ความสบายแลลุแก่อำนาจไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้น งานแผ่นดินก็จะวิปริตฟั่นเฟือนไป แลเราอยู่กระทรวงยุติธรรม ต้องมีหน้าที่ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้คนเพราะบ้านเมืองที่ไร้ความเป็นธรรม ย่อมไม่อาจดำรงความเป็นบ้านเมืองอยู่ได้"
"ขอรับ กระผมจะจดจำไว้ไม่มีวันลืมขอรับ"
แก้วก้มลงกราบที่เท้าอีกที
ขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"ลุกขึ้นก่อนแก้ว...เข้ามา"
ข้าราชการคนหนึ่งเปิดประตูห้องเข้ามาบอกว่า
"คนที่ท่านเจ้าคุณให้ไปพามา มาถึงแล้วขอรับ"
"พาเข้ามาสิ"
ข้าราชการเดินกลับออกไป ก่อนจะพาบุญเจิมเข้ามาในห้อง แก้วนึกไม่ถึง

"นังเจิม"
ภายในโบสถ์ของวัดแห่งหนึ่ง บุญเจิมกำลังก้มลงกราบพระพุทธรูปด้วยน้ำตานองหน้า โดยมีแก้วนั่งอยู่ใกล้ๆ

"พอเผาศพไอ้คอกแล้ว ข้าก็เอาอัฐิเกือบทั้งหมดไปลอยน้ำ เหลือเก็บไว้ชิ้นเดียว เอามาใส่ในพระพุทธรูป เผื่อ มีคนมาทำบุญ ไอ้คอกจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลไปด้วย"
บุญเจิมร้องไห้ เสียใจสุดๆ
"ไอ้คอกมันดีกับฉันนัก มันทำทุกอย่างเพื่อความสุขของฉัน ไม่เคยทำเพื่อตัวเองเลย แต่ฉันกลับไม่อาจตอบแทนมันได้แม้แต่เพียงนิด ให้สมกับความดีของมัน"
"ไอ้คอก มันคงไม่หวังให้เอ็งตอบแทนมันดอก แค่เอ็งอยู่ดีมีสุข มันก็คงดีใจมากแล้ว"
แก้วนึกขึ้นได้ จึงเปลี่ยนเรื่อง
"เออ แต่อย่างไร เอ็งพ้นโทษมาช่วงนี้ ก็ถือว่าโชคดีนัก เพราะข้าได้เข้ารับราชการพอดี
ต่อไป ก็จะมีเงินเบี้ยหวัดใช้สอย เอ็งไม่ต้องกลับไปลำบากอีกแล้ว"
บุญเจิมสะอึกสะอื้น
"แต่ฉันขอไปเอางานตัดเย็บชุดทหารมาทำบ้างนะพี่ เพราะงานนี้ ทำให้ฉันมีความดีความชอบ จนได้ ลดหย่อนโทษไม่ต้องติดคุกเป็นสิบๆปี ฉันก็อยากจะทำต่อ เพื่อสนองคุณหลวงท่าน"
"ตามใจเอ็ง สิ่งใดที่เอ็งทำแล้วสบายใจ เอ็งก็ทำไปเถอะ แลนับแต่นี้ข้าจะคอยดูแลปกป้องเอ็งเอง ทั้งในฐานะที่เอ็งเป็นน้อง แลในฐานะที่ข้ารับปากไอ้คอกไว้"

อ่านละครเรื่องลูกทาส วันที่ 27 มีนาคม 2557[4]

ละครลูกทาส บทประพันธ์โดย : รพีพร
ละครลูกทาส บทโทรทัศน์โดย : บทกร
ละครลูกทาส กำกับการแสดงโดย : ธรธร สิริพันธ์วราภรณ์
ละครลูกทาส ผลิตโดย : บ. ทีวีซีน แอนด์ พิคเจอร์ จ.ก.
ละครลูกทาส ควบคุมการผลิตโดย : ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครลูกทาส ออกอากาศทุกวันจันทร์ และวันอังคาร เวลา 20.25 น. ทางไทยทีวีสช่อง 3
ที่มา เดลินิวส์