@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รากบุญ[อวสาน/2] วันที่ 6 ธ.ค. 55

อ่านละคร รากบุญ[อวสาน/2] วันที่ 6 ธ.ค. 55

เพราะเธอมีเวลาอยู่กับกล่องน้อยเกินไป แล้วที่สำคัญ ถึงเธอจะหยุดฉันได้ แต่ก็ทำลายฉันไม่ได้หรอก เพราะเธอยังไม่ได้เหรียญดาวทุกข์ดวงที่สาม”
เจติยาได้แต่รวบรวมสมาธิไม่ให้ปราณเป็นอิสระ โดยไม่สามารถไปช่วยลาภิณได้ ลาภิณเล่นงานพิสัยจนอ่วม พิสัยโดนชกไปหลายหมัดจนเลือดกบปาก ก่อนจะโดนลาภิณเตะจนล้มคว่ำไปกับพื้น พิสัยเหลือบไปเห็นปืนของตัวเองที่ตกอยู่ที่พื้น ลาภิณตกใจจะเข้าไปแย่ง แต่ก็ไม่ทัน พิสัยรีบหยิบปืนขึ้นมา
พิสัยยิ้มเหี้ยม “เสร็จกูล่ะไอ้ต้น”

พิสัยกำลังจะลั่นไก ทันใดนั้นวิญญาณของปริมก็ปรากฏขึ้นขวางหน้าปืนและเผชิญหน้ากับพิสัย ระยะประชิดแบบไม่ให้เขาได้ทันตั้งตัว พิสัยตกใจสุดขีดจนร้องลั่น



ปริมอาฆาตพยาบาทสุดๆ “มึงบีบกู จนกูต้องฆ่าตัวตาย” ปริมตะโกนลั่น “มึงต้องชดใช้ ไอ้ฆาตกร”
พิสัยกลัวสุดขีดจึงกระโดดไปหลบหลังปราณ
ปราณตวาดปริมลั่น “ไสหัวไป ไม่ใช่เรื่องของแก”
ปริมหันมาจ้องหน้าปราณแล้วยิ้มเย้ยหยัน ก่อนหันไปพูดกับเจติยา “เจติยา ฉันขอให้เธอทำลายกล่องรากบุญ...เดี๋ยวนี้”
สิ้นคำขอของปริม ดวงตาของรูปแกะสลักยักษ์บนกล่องก็เปล่งแสงสีแดงฉาน พร้อมกับได้ยินเสียงคำรามกึกก้องก่อนที่บนปากยักษ์จะปรากฏเหรียญดาวทุกข์อันที่สามขึ้นมา
เจติยาดีใจสุดๆ “เหรียญที่สาม” เจติยารีบหยิบเหรียญติดลงบนกล่องทันที
ปราณกลัวสุดขีดจึงร้องสุดเสียง “อย่า”
“กล่องรากบุญ ฉันขอพรให้แกสูญสลายไปเดี๋ยวนี้” เจติยาร้องขอ
สิ้นคำของเจติยาก็เกิดลมพัดแรงกล้า กล่องรากบุญเปล่งแสงสว่างไปทั่วบริเวณ ฝากล่องเปิดออก พร้อมกับแสงสว่างพุ่งวาบขึ้นเหมือนทุกครั้งที่ขอพร แล้วกล่องรากบุญก็ค่อยๆ เสื่อมสลายเป็นผุยผงไปตามคำขอของเจติยาแล้วปลิวไปกับแรงลม

ไฟลุกไหม้ไปทั่วตัวปราณ ปราณร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดจนถึงขีดสุดแล้วปราณก็สลายไปพร้อมๆกับกล่องรากบุญทุกอย่างคืนสู่ความสงบเหมือนเดิม พิสัยตกใจจนตาเหลือก ปริมจ้องพิสัยแล้วหัวเราะสะใจก่อนจะค่อยๆเลือนหายไป
ระหว่างที่เกิดความโกลาหล เสียงปืนก็ดังเปรี้ยงขึ้นมา ทุกคนมองไปตามวิถีการเล็งของปืนของพิสัย เจติยาค่อยๆก้มลงมองที่หน้าอกตัวเอง หน้าอกของเธอแดงฉานไปด้วยเลือดสดๆ จากการถูกยิง เจติยาค่อยๆทรุดลงกับพื้นก่อนจะสิ้นสติไป
มยุรีตกใจสุดขีด “เจ”
นทีร้องเรียกเสียงดัง “พี่เจ”
พิสัยคลั่ง “ตายซะเถอะพวกมึง”
พิสัยยิงใส่ลาภิณ มยุรี และนที ทั้งสามคนรีบหาที่กำบังใกล้ตัว ทันใดนั้น พิสัยก็ถูกยิงเข้าที่หัวไหล่จนทรุดลงและปืนหลุดจากมือ นวัชที่เป็นคนยิงพิสัยรีบนำตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ทันที ตำรวจเข้าจับกุมพิสัยเอาไว้ได้สำเร็จ ลาภิณ มยุรี และนที รีบวิ่งเข้าไปดูอาการเจติยาทันที
ลาภิณเป็นห่วงสุดๆ “เจ ได้ยินฉันรึเปล่า เจ”
เจติยาหน้าซีดเผือดเพราะหมดสติไปแล้ว

เจติยาเดินอยู่คนเดียวท่ามกลางสถานที่เวิ้งว้าง มืดมิด มองอะไรไม่เห็นนอกจากความมืดรอบตัว เจติยามองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น
“ในที่สุด เราก็ได้เจอกันจนได้”
เจติยาตกใจจึงหันมองไปรอบตัว
อึดใจเดียวแสงสีขาวก็สว่างส่องมาที่เจติยา เธอรู้สึกแสบตาทันทีพอหันมองรอบตัวก็พบว่าตัวเองอยู่ในความมืดมิดที่มีแสงสว่างเฉพาะบริเวณตัวเธอ
เจติยางง เธอก้มมองหน้าอกตัวเอง เลือดสีแดงที่เปื้อนเสื้อจากการถูกยิงค่อยๆ ถูกดูดซึมเข้าร่างกายจนหายไปเป็นปกติเหมือนไม่เคยถูกยิงมาก่อน เสียงเดินของใครสักคนก้าวเข้ามาหาเจติยา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เจติยาหันมองไปรอบตัวด้วยความหวาดกลัว
ทันใดนั้นไฟก็สว่างบริเวณชายร่างสูงในชุดสีดำ ชายชุดดำยืนเผชิญหน้ากับเจติยาพร้อมกับยิ้มขรึม เจติยามีสีหน้างงปนกลัว
ชายคนนั้นคือมัจจุราช มัจจุราชกล่าวน้ำเสียงทุ้มกังวาน ดวงตาของเขามองเจติยาอย่างมีเมตตา “ยินดีต้อนรับ เจติยา”
“คุณเป็นใคร ฉันอยู่ที่ไหน ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแน่ๆ” เจติยามองไปรอบๆ
“นี่เป็นห้องรับแขกของนรก”
เจติยาตกใจมาก “นรก”

พยาบาลเข็นร่างของเจติยาเข้าห้องผ่าตัดด้วยความเร่งรีบ โดยมีลาภิณ มยุรี และนที เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง

เจติยากวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความกลัวแต่ก็เห็นเพียงความมืดมิด มีแสงสว่างแค่ตัวเธอกับชายชุดดำตรงหน้า
“นรกไม่ใช่แบบนี้”
“นรกควรเป็นอย่างไรล่ะ” มัจจุราชถามกลับ
“มันน่าจะมีคน.....เอ๊ย.....พวกเทพอย่างที่เรียกกันว่ามัจจุราชหรือยมบาลอะไรแบบนี้ ทำไมมีแต่ความมืด” เจติยามองไปที่ชายชุดดำ “แล้วเครื่องแต่งกายของคุณก็ไม่เหมือนที่เคยเห็นในหนัง”
“มันเป็นนรกในความคิดของมนุษย์ต่างหาก ของจริงคือความมืดและความว่างเปล่า เราอยู่นรกมานานแล้ว นี่คือนรกของจริง”
เจติยาอึ้งเล็กน้อยแล้วใช้ความคิด “อยู่มานานแล้ว”
“เจ้าคงอยากรู้ว่าเราเป็นใครใช่ไหม”
“แน่นอนค่ะ”
“เราคือ ผู้สร้างกล่องรากบุญที่เจ้าเพิ่งทำลายมันไป”
เจติยาตกใจมาก “ท่านมัจจุราช”
มัจจุราชพยักหน้ารับ “ใช่ เราคือ มัจจุราช”
“ท่านดูเป็นคนธรรมดาเหมือนพวกเรา”
มัจจุราชยิ้มเยือกเย็น “กายหยาบนี้สร้างขึ้นเพื่อให้การสนทนาของเรายาวนาน เจ้าไม่ต้องตกใจจนเป็นลมไปเสียก่อน เจ้าเป็นแขกคนแรกของเรา”
เจติยาคิด “ถ้าฉันเจอมัจจุราช ก็หมายความว่า ฉันตายแล้วสิ” เจติยามีสีหน้าตกใจ แล้วก็ร้องไห้โฮออกมา “ฉันตายแล้วเหรอ ฉันยังไม่อยากตาย”

หมอและพยาบาลกำลังช่วยกันผ่าตัดเจติยาเพื่อยื้อชีวิตกลับมาให้ได้ มอนิเตอร์แสดงสัญญาณชีพของเจติยาบ่งบอกอาการที่แย่ลงทุกที เจติยาสลบสไลไม่ได้สติอยู่ในอาการโคม่า

“เจ้ามาที่นี่พร้อมกับกล่องรากบุญของเรา มันเป็นความตั้งใจแต่แรก ที่ยอมเสี่ยงตายเพื่อทำลายมันมิใช่หรือ” มัจจุราชถาม
“ฉันคิดล่วงหน้าแบบนั้นไว้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยากตายนักหรอกค่ะ” เจติยาเช็ดน้ำตา แล้วสะอื้นเป็นระยะๆ
“แรงปรารถนาของมนุษย์คือรากเหง้าของปราณ เขากำเนิดขึ้นจากกิเลสและถูกมันครอบงำจึงแปรเปลี่ยนไป เจ้าเป็นคนฉลาดมาก” มัจจุราชมองเจติยาด้วยความชื่นชม
“ถ้าท่านไม่ทิ้งกล่องใบนั้นไว้บนโลก ปราณก็ไม่ต้องฆ่าฉันเพื่อปกป้องตัวเอง”
มัจจุราช ยิ้ม “เราผิดงั้นสิ”
เจติยาพยักหน้ายืนยัน “แน่นอนค่ะ เงื่อนไขของกล่องใบนั้นคือ กระตุ้นให้เจ้าของกล่อง สร้างบุญตามคำขอจากผู้ที่เดือดร้อนเพื่อสะสมบุญกุศล แต่ฉันไม่ชอบที่มี.......” เจติยาหยุดพูดไปอย่างลังเล
“พูดต่อไปสิ ตอนนี้เจ้าอยู่ในห้องรับแขกของนรกแล้ว เราไม่ทำร้ายแขกของเราหรอก” มัจจุราชยิ้มขรึม
“ปราณบอกว่า ท่านหวังดีจะลดจำนวนคนบาปในนรก จึงใช้กุศโลบายนี้ แต่ในทางตรงข้ามมันเป็นการสร้างนิสัยไม่ดีให้มนุษย์ซะมากกว่า การทำบุญควรทำจากหัวใจ ไม่ใช่ทำเพื่อเอาของแลกเปลี่ยน ที่ท่านทำมันเป็นการค้าบุญตะหาก”
“ค้าบุญงั้นเหรอ”
“ค่ะ เงื่อนไขของกล่องใบนั้นคือ ต้องทำงานตามคำขอ แล้วจะได้สิ่งที่ตนปรารถนา มันไม่ต่างจากการค้าขายเลย ถึงจะมีคนที่สามรับผลพลอยได้ไปก็เถอะ มันผิดหลักความเชื่อของฉัน”
“เจ้าเองก็เคยได้สิ่งที่ปรารถนาจากกล่องรากบุญมิใช่หรือ”
เจติยามีสีหน้าเศร้าๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ “ค่ะ ชีวิตของแม่อยู่รอดถึงวันนี้ได้ก็เพราะอำนาจของกล่อง แต่ฉันรู้สึกกดดัน ไม่มีความสุขเลยสักวันเมื่อต้องทำสิ่งที่เรียกว่าสร้างบุญ... ตั้งแต่เด็กฉันได้รับคำสอนว่าการทำบุญจะช่วยให้จิตใจแจ่มใสและมีความสุข แต่ฉันไม่เคยสัมผัสความสุขหลังจากเป็นเจ้าของกล่องรากบุญเลย มันเกิดจากความไม่เต็มใจ ไม่มีจิตสำนึกว่าควรทำบุญ ฉันถูกบังคับให้ทำบุญเพื่อแลกกับชีวิตของแม่”
“เจ้าไม่อยากให้คนอื่นต้องมีทุกข์เช่นเดียวกับเจ้า จึงคิดใช้คำขอครั้งนี้เพื่อทำลายกล่องรากบุญงั้นสิ”
“ค่ะ แล้วฉันก็กลัวกล่องจะต้องตกไปอยู่ในมือคนจิตใจไม่ดีแบบนายพิสัยด้วย”
“เหตุใดจึงเลือกใช้วิธีนี้ล่ะ”
“ไม่มีใครรู้วิธีทำลายมัน แล้วพลังกิเลสก็ดึงดูดใจคนให้ปกป้องมันไว้ ฉันเลยคิดว่าต้องให้มันทำลายตัวมันเองเท่านั้น”
“ช่างคิดดี” มัจจุราชชม
“ท่านไม่โกรธที่ฉันทำลายกล่องของท่านเหรอคะ”
“ทำไมต้องโกรธล่ะ” มัจจุราชหัวเราะในลำคอก่อนจะส่ายหน้า “เราดีใจที่กล่องถูกทำลาย โดยเฉพาะทำโดยเจ้าของกล่อง เพราะมันบอกชัดว่าเจ้าของมีปัญญาอันชาญฉลาดและมีสติ เจ้าเข้าใจและรู้ซึ้งในความปรารถนาของเราอย่างแท้จริง เรารอคอยพบคนแบบนี้มานานหลายร้อยปีแล้ว”
เจติยามีสีหน้างงๆ
“อดีตที่ผ่านมากล่องถูกใช้เพื่อตอบสนองความปรารถนาด้านกิเลสของคนเป็นส่วนใหญ่ เราผิดหวังที่พวกเขาไม่สนใจความสุขที่ได้จากการสร้างบุญกุศลเหล่านั้นเลย แต่สัมผัสเพียงเปลือกนอกของกล่องเท่านั้น เราจึงละทิ้งมันไว้บนโลก และลืมเลือนมันไป จนกระทั่ง” มัจจุราชถอนใจหนัก “พลังกิเลสที่สะสมในกล่องรวมตัวกันสร้างปราณขึ้นมา เราจึงจดจำกล่องใบนั้นได้อีกครั้งว่า เราทิ้งปัญหาไว้ที่โลกมนุษย์”

“ทำไมท่านไม่เอามันกลับมาล่ะคะ”
“เราเป็นคนสร้างเงื่อนไขว่า กล่องต้องมีเจ้าของคนเดียว เราย่อมละเมิดกติกานี้ไม่ได้เช่นกัน”
“ท่านบอกฉันก็ได้นี่นา ฉันอาจจะไม่ต้องตายแบบนี้ก็ได้”
“เราไม่ได้รับสิทธิ์ติดต่อกับมนุษย์คนใด นอกจากคนตาย”
เจติยามีสีหน้าเศร้าสร้อย “นี่ตกลงฉันตายแล้วจริงๆ ใช่มั้ยคะ”

มอนิเตอร์แสดงสัญญาณชีพของเจติยาแสดงสัญญาณว่าชีพจรหยุดเต้นแล้ว ทุกคนในห้องผ่าตัดตกใจมากรีบกู้ชีวิตเจติยากลับคืนมาอย่างโกลาหล เจติยานอนนิ่งไม่ได้สติ ใบหน้าซีดเผือด พร้อมจะจากไปได้ตลอดเวลา

“ความตายคือ ความสงบ ละทิ้งภาระทุกอย่างที่เคยเป็นของเจ้า มันไม่ดีตรงไหน” มัจจุราชถามกลับ
“ฉันเข้าใจหลักธรรมะเรื่องความตาย แต่ทำใจไม่ได้ เมื่อฉันทำความดีด้วยการกำจัดปราณและกล่องรากบุญไม่ให้บิดเบือนความปรารถนาของท่านต่อไป ฉันกลับต้องตาย มันไม่ยุติธรรมเลย”
“ทำไมจึงอยากอยู่บนโลกต่อไปล่ะ บางทีเจ้าอาจมีความสุขอยู่บนสวรรค์ก็ได้”
“ฉันยังมีห่วงกรรมอยู่กับแม่และน้องชาย ฉันไม่อยากทิ้งพวกเค้าเค้าอ่อนแอเกินไป”
มัจจุราชยิ้ม “ที่เจ้ามาอยู่ในห้องรับแขกของนรกได้ ก็เพราะเราต้องการให้รางวัลที่เจ้าช่วยสะสางสิ่งตกค้างแทนเรา”
เจติยาเบ้ปากเล็กน้อย “ฉันตายแล้วจะเอารางวัลไปทำอะไรล่ะคะ”
“เราดึงวิญญาณของเจ้ามาคุยกันเท่านั้น เมื่ออาทิตย์ทอแสงเช้าและเจ้ายังไม่กลับคืนร่าง เจ้าจึงตายอย่างแท้จริง”
เจติยาดีใจมาก “นี่ฉันยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่เหรอคะ”
มัจจุราชยิ้มเย็น “เราไม่เคยบอกว่า เจ้าตาย”
“แต่ท่านบอกว่าติดต่อกับคนตายเท่านั้น ทำไมท่านจึงคุยกับฉันได้”
มัจจุราชสะบัดมือวาดเป็นช่องวงกลม แล้วช่องว่างสีขาวก็ปรากฏขึ้นเป็นภาพหมอกับพยาบาลกำลังช่วยกันยื้อลมหายใจของเจติยาบนเตียงอย่างอลหม่าน เจติยามองดูด้วยสีหน้าตกใจ
“หัวใจของเจ้าหยุดเต้นเป็นระยะๆ พวกเขากำลังช่วยชีวิตของเจ้า ช่วงแห่งความเป็นและความตายจึงเป็นเวลาที่เราจะคุยกันได้ มันไม่ยาวนานนัก”
เจติยาเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธอยิ้มกว้าง “ฉันมีชีวิตต่อไปได้ใช่ไหม”
“เราชื่นชมสิ่งที่เจ้าทำอย่างมาก เราต้องการมอบรางวัลที่เจ้าทำลายกล่องรากบุญและเข้าใจความปรารถนาของเราได้อย่างถ่องแท้ที่สุด”
“ฉันขอได้ทุกอย่างเลยเหรอคะ”
“ได้ทุกอย่าง เวลาระหว่างเราใกล้จะหมดแล้วเจ้าจะขออะไรเจติยา”
เจติยาคิดหนัก “ฉันต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป และมีพลังล่วงรู้นาทีสุดท้ายของคนตายที่ต้องการให้ช่วยคลายทุกข์ โดยปราศจากเงื่อนไขของท่านอีก”
“ทำไมจึงขอเช่นนี้ล่ะ ทั้งที่เจ้าเคยบอกว่าพลังการล่วงรู้สร้างทุกข์แก่เจ้าไม่ใช่หรือ”
“ฉันเต็มใจช่วยคนตายที่ต้องการความช่วยเหลือ คนตายเพียงอยากให้บอกความจริงแก่คนอื่นล่วงรู้อย่างถูกต้องเท่านั้น ไม่ใช่ขอให้ฟื้นคืนชีพ ฉันพอมีสติปัญญาที่จะช่วยพวกเขาได้”
“เจ้าจะทำบุญตามแบบฉบับของตัวเอง”
“ค่ะ ฉันมีความสุขหลังจากเปิดโปงเบื้องหลังความตาย และมองเห็นเส้นทางบุญของตัวเองชัดเจน”
มัจจุราชยิ้มชื่นชม “เจ้าจะได้ชีวิตตามเวลาใหม่ซึ่งพรหมลิขิตกำหนดขึ้นจากบาปบุญของเจ้าที่ผ่านมา ส่วนพลังวิเศษที่เจ้าขอ จะเป็นของเจ้าอย่างปราศจากเงื่อนไขและติดตัวของเจ้าไปจนหมดลมหายใจ ไม่มีการสืบทอดเด็ดขาด”
เจติยายิ้มดีใจ “ขอบคุณค่ะ”
“เราเชื่อในปัญญาและความสามารถของเจ้า”

ทันใดนั้นแสงไฟสว่างที่สาดส่องมัจจุราชอยู่ก็ดับมืดลง เจติยากวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ
เสียงมัจจุราชก้องกังวาน “บุญหรือบาปกำหนดด้วยมือของเจ้า จำไว้นะเจติยา”
ลมวูบใหญ่กระแทกเจติยาลอยลิ่วไปด้านหลัง ความมืดเข้าครอบคลุมร่างที่ลอยเคว้งทันที ลำแสงสว่างที่เคยส่องเจติยาดับมืดไป

เจติยานอนแน่นิ่งบนเตียงผ่าตัด มอนิเตอร์สัญญาณชีพจรของเจติยาหยุดนิ่ง พยาบาลสบตากันด้วยท่าทางซึมๆ หมอถอนใจออกมาพร้อมถอดถุงมือทิ้งถังขยะ

ลาภิณ มยุรี และ นที นั่งรอฟังผลที่หน้าห้องผ่าตัด ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเป็นห่วงเจติยา
“คุณน้าหิวอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวผมไปหาซื้อมาให้” ลาภิณถาม
“น้าทานอะไรไม่ลงหรอกค่ะคุณ” มยุรีบอก
“แม่ยังไม่ได้ทานอะไรทั้งวันเลยนะครับ” นทีท้วง
มยุรีน้ำตาคลอมองนที แล้วยกมือขึ้นลูบผมด้วยความรักและเป็นห่วง “เราหิวก็ไปกินก่อนเถอะ”
ลาภิณมองดูสองแม่ลูกแล้วก็อดซึมเพราะคิดถึงแม่ตัวเองขึ้นมาไม่ได้ วิญญาณของชูจิตค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับเลื่อนมือบางใสของเธอลูบผมลาภิณด้วยความรักและคิดถึงลูกชายแต่ก็กลับมาหาไม่ได้แล้ว
ทันใดนั้นหมอก็เดินออกมาจากห้องผ่าตัดพอดี ทุกคนลุกไปหาหมออย่างรวดเร็ว วิญญาณชูจิตมองตามไปด้วยความเป็นห่วงเจติยาเช่นกัน
“คนไข้มาถึงโรงพยาบาลช้าไป หมอเสียใจด้วยนะครับ” หมอบอก
มยุรีร้องไห้โฮออกมา นทีน้ำตาคลอพร้อมกับจับมือแม่เอาไว้แน่น ลาภิณนิ่งอึ้งเพราะช็อคไปชั่วขณะ วิญญาณชูจิตมีสีหน้าเศร้าเสียใจ
“โธ่ หนูเจ”
เสียงเจติยาดังขึ้นที่ด้านหลังชูจิต “คะคุณท่าน”
ชูจิตตกใจหันมองไปด้านหลัง เห็นวิญญาณเจติยายืนงงๆ อยู่ด้านหลังของเธอ
“หนูเจ หนูตายแล้วจริงๆ เหรอ”
เจติยายังงงๆ “สงสัยเจจะกลับมาช้าเกินไป”
เจติยายังเหวอๆ งงๆ เธอมองเลยไปทางห้องผ่าตัด พยาบาลเข็นเตียงที่มีร่างเจติยานอนหลับตานิ่งบนเตียงออกมา
มยุรีร้องไห้โฮออกมาทันทีที่เห็นหน้าลูกสาว “เจ...” มยุรีเข้าไปกอดศพเจติยาแล้วร้องไห้
นทียกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วเดินไปจับมือเจติยา
นทีต่อว่าทั้งที่ตาแดง “พี่เจใจร้าย ทิ้งกันไปยังงี้ได้ยังไง” นทียกมือขึ้นปาดน้ำตาไม่ให้ไหล
หมอพูดด้วยสีหน้าเสียใจ “หมอขอตัวก่อนนะครับ” หมอเดินเลี่ยงไป
พยาบาลยืนรออยู่ห่างๆ วิญญาณเจติยาค่อยๆ เดินมาดูร่างตัวเองที่ปลายเตียง
ลาภิณพยายามสะกดอารมณ์ก่อนจะบอกมยุรี “บริษัทผมจะดูแลเรื่องจัดงานให้เจทุกอย่างนะครับคุณน้า”
มยุรีหันมองลาภิณน้ำตาคลอแล้วฟูมฟายทั้งน้ำตา “แล้วใครจะแต่งศพให้เจล่ะคะ น้าหวังว่าเจจะเป็นคนแต่งหน้าศพน้าตอนตาย ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ เจเป็นเด็กดี ทำไมไม่มีปาฏิหาริย์อะไรมั่งเลย” มยุรีหน้ามืดจะเป็นลม
นทีตกใจ “แม่” นทีรีบไปประคองมยุรี
“พาแม่ไปนั่งพักก่อนเถอะนที” ลาภิณเสนอ
นทีประคองแม่ไปนั่ง ก่อนจะพัด แล้วเอายาดมให้ดม พยาบาลเข้ามาจะคลุมผ้าปิดหน้าเจติยา วิญญาณเจติยาเดินมาดูร่างตัวเองข้างๆ พยาบาล
ลาภิณห้ามพยาบาลเอาไว้ “เดี๋ยวก่อนครับ”
พยาบาลยิ้มบางๆ ให้ แล้วถอยห่างออกไป วิญญาณเจติยาจับตามองลาภิณตลอดเวลาด้วยน้ำตาคลอขึ้นมา ลาภิณเข้ามามองหน้าเจติยาเพื่อสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย ลาภิณจับมือเจติยาเอาไว้แล้วมองหน้าเจติยานิ่ง

ลาภิณน้ำตารื้นขึ้นมา “ฉันมันไม่เอาไหนเลย ไม่มีปัญญาช่วยอะไรเธอได้ซักอย่าง เธอช่วยชีวิตฉันไว้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่ฉันมันไม่ได้เรื่องเลย” ลาภิณลำคอตีบตัน เสียงสั่นเครือ “เธอควรปล่อยให้ฉันตายไปตั้งนานแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องรู้สึกแย่ขนาดนี้” ลาภิณน้ำตาไหลออกมา
วิญญาณเจติยามองหน้าลาภิณแล้วน้ำตาก็ไหลตามออกมาเช่นกัน
“ฉันเสียใจ ให้อภัยฉันด้วยนะเจ” ลาภิณเลื่อนมืออีกข้างแตะแก้มเจติยาแล้วลูบไล้เบาๆ สั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย
ศพเจติยาค่อยๆ มีน้ำตาไหลออกมา ลาภิณชะงักไป เขาค่อยๆ เลื่อนมือไปแตะน้ำตาศพ
ลาภิณงงและมีความหวัง เขารีบบอกพยาบาล “ทำไมมีน้ำตาไหลออกมาได้ล่ะครับคุณพยาบาล”
พยาบาลเดินเข้ามาดู ทันใดนั้นวิญญาณของเจติยาก็มีอาการพลิ้วไหว ก่อนจะถูกดูดกลับเข้าร่างตัวเองทันที วิญญาณชูจิตมีสีหน้าตกใจปนประหลาดใจ เจติยาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ
ลาภิณดีใจมาก “เจ”
นทีและมยุรีตกใจหันไปมอง
เจติยาถามเสียงเพลีย “ฉันอยู่ไหน”
ลาภิณดีใจมาก “เจฟื้นแล้ว”
นทีและมยุรีรีบลุกมาดู
พยาบาลตื่นเต้นรีบบอกเพื่อนพยาบาล “เธอรีบไปตามหมอเร็วเข้าขอโทษนะคะ”
พยาบาลรีบเข็นเจติยากลับเข้าห้องผ่าตัดไป
มยุรีร้องไห้ “เจ..”
เจติยามองตามมาที่ทุกคนก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมาอย่างดีใจที่ได้กลับมาเจอทุกคนอีก
นทีดีใจมาก “พี่เจไม่ตายแล้วแม่” นทีร้องไห้โฮออกมาแล้วกอดมยุรีไว้แน่น
มยุรีร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ลาภิณสวมกอดสองแม่ลูกไว้อีกชั้น ทุกคนกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจไว้ไม่อยู่ วิญญาณชูจิตยิ้มแย้มออกมาอย่างสบายใจเพราะหมดห่วงแล้ว

ณ โรงพยาบาลตอนเช้าวันหนึ่ง ลาภิณกำลังเข็นรถให้เจติยานั่ง เช่นเดียวกับโอ้เอ้ที่เข็นรถให้ทวีนั่งมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
ทวียิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี “ลุงก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตื่นขึ้นมาจะหายเป็นปกติได้ คิดว่าต้องนอนแห้งตายคาเตียงไปซะแล้ว”
“ปาฏิหาริย์ไงครับลุง” ลาภิณบอก
เจติยาเหลือบตามองลาภิณแล้วยิ้มให้กัน
“ถ้ากล่องรากบุญยังอยู่ ลุงจะไม่สงสัยเลย” ทวีบอก
“กล่องอะไรลุง” โอ้เอ้งง
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็งหรอกน่ะ เอ้าๆ เลี้ยวซิ คุณหมอรออยู่” ทวีหันมามองลาภิณและเจติยา “ลุงไปพบหมอก่อนนะ”
โอ้เอ้แกล้งเข็นเร็วแล้วตีโค้ง
ทวีด่าเสียงดัง “ไอ้โอ้เอ้ เดี๋ยวข้าก็หัวทิ่มตายหรอก ไอ้เจ้านี่นี่”
ลาภิณและเจติยาขำๆ พร้อมกับมองตามไป
“เธอว่าทำไมลุงถึงได้หาย” ลาภิณถามขึ้น
“เพราะปราณสลายไปแล้วไงคะ ลุงป่วยเพราะฤทธิ์ของปราณไม่ใช่เพราะสุขภาพไม่ดี”
ลาภิณเข็นเจติยามาถึงสวนหย่อมของโรงพยาบาล ลาภิณเดินมานั่งคุยด้วย
“เธอบอกว่าเธอได้พรจากมัจจุราชให้มองเห็นคนตายได้ใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“งั้นตอนนี้เธอเห็นคุณแม่รึเปล่า”
เจติยามองไปที่ด้านหลังลาภิณแล้วยิ้มบางๆ “คุณท่านอยู่กับคุณเสมอค่ะ”
ลาภิณยิ้มดีใจพร้อมกับหันไปมอง แต่มองไม่เห็น
“แม่อยู่ไหน ฉันไม่เห็น”
“ตรงต้นไม้นั่นล่ะค่ะ”
วิญญาณชูจิตปรากฏตัวขึ้นแล้วยิ้มให้เจติยา ลาภิณเดินเข้าไปหาก่อนจะหันไปถามเจติยา
“ต้นนี้รึเปล่า”
“ค่ะ”
ลาภิณพยายามเดาแล้วยิ้มส่งไป “ผมดีใจนะครับที่คุณแม่ยังรักและคอยดูแลผมอยู่ แต่ผมก็ไม่สบายใจที่เป็นต้นเหตุให้คุณแม่เป็นห่วงจนไม่ยอมไปผุดไปเกิดแบบนี้”
ชูจิตซึมไป
“ตอนนี้คนที่คิดร้ายกับผมก็ได้รับกรรมไปหมดแล้ว ส่วนนิราลัยก็กำลังเดินหน้าไปด้วยดี ไม่มีอะไรที่คุณแม่จะต้องห่วงอีกแล้วนะครับ”

ชูจิตมองลาภิณด้วยความรัก “คนเป็นแม่ ยังไงก็อดห่วงลูกไม่ได้หรอกจ้ะ”
“คุณท่านบอกว่าอดห่วงคุณไม่ได้น่ะค่ะ” เจติยาช่วยพูดต่อ
ลาภิณยิ้มแย้มก่อนจะเดินกลับไปจับมือเจติยาแล้วกุมมือเธอเอาไว้ “จะห่วงอะไรอีกครับแม่ ในเมื่อผมมีคนดูแลแทนแล้ว”
เจติยาเขินๆ แล้วจะดึงมือออก
ลาภิณจับมือเธอไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย “เจเค้ารับปากจะแต่งงานกับผม”
เจติยาหยิกแขนลาภิณเพราะอายมาก “ฉันไปรับปากคุณตอนไหน”
ชูจิตมองแล้วยิ้มเอ็นดู
ลาภิณกระซิบ “ไม่อยากให้แม่ผมหมดห่วงรึไง”
เจติยาทำหน้าดุใส่ “เจ้าเล่ห์นักนะ”
ชูจิตยิ้มเอ็นดูแล้วพูดกับเจติยา “ฉันไม่มีห่วงอะไรแล้วล่ะ ฝากต้นด้วยนะหนูเจ วิญญาณฉันคงเป็นสุขที่สุด ถ้าเธอรับปากฉันว่าจะแต่งงานกับต้น แล้วดูแลต้นแทนฉันไปตลอดชีวิต”
เจติยายิ้มเขิน
ลาภิณอยากรู้ “คุณแม่พูดว่าอะไร”
เจติยาอายที่จะบอก “เปล่า”
“รับปากฉันซิหนูเจ ฉันจะได้ไปซะที” ชูจิตเงยหน้ามองสูง
เจติยายิ้มเขิน “ค่ะ คุณท่าน”
ชูจิตยิ้มดีใจมาก “ขอบใจมากหนูเจ”
ลาภิณทำหน้าดุใส่ “แม่คุยอะไรกับเธอ บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เจติยาตัดบท “คุณท่านจะไปแล้ว”
ลาภิณปล่อยมือเจติยาแล้วเดินไปมองต้นไม้ที่ชูจิตยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ก็มองไม่เห็น
ชูจิตมองลาภิณด้วยน้ำตาคลอ “แม่ต้องไปแล้วต้น แม่รักต้นมากนะลูกชาติหน้า ขอให้เราได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีกนะลูก” ชูจิตน้ำตาไหลออกมา
เจติยาน้ำตาคลอตาม “คุณท่านบอกว่ารักคุณมาก ชาติหน้าขอให้เกิดเป็นแม่ลูกกันอีก”
ลาภิณน้ำตารื้น “ครับแม่ ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วนะครับ ผมจะทำบุญไปให้แม่ไม่ให้ขาดเลยนะครับ”
ชูจิตยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองมุมสูงแล้วค่อยๆ จางหายไป ลาภิณเห็นเพียงต้นไม้ที่โดนลมปะทะวูบจนใบลู่ขึ้นไป
“แม่ไปแล้วใช่มั้ย” ลาภิณถาม
“ค่ะ”
ลาภิณถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ และน้ำตาคลอ เจติยาเดินเข้ามาจับมือลาภิณเอาไว้ก่อนจะบีบเบาๆ ให้กำลังใจ
ลาภิณหันมามองหน้าเจติยา “ตอนนี้ผมเหลือคุณคนเดียวแล้วจริงๆนะเจ” ลาภิณสีหน้าเศร้าๆ
เจติยาเห็นใจเลยขยับตัวเข้าไปสวมกอดลาภิณเอาไว้ ลาภิณสวมกอดเจติยาเอาไว้แน่น

หลายวันผ่านไป เจติยาหยิบใบไม้มาวางบนพื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่ ลาภิณเอาน้ำที่ผ่านการกรวดน้ำมาเทรดไป เจติยาและลาภิณยิ้มสบายใจ
“สบายใจขึ้นมั้ยคะ” เจติยาถาม
ลาภิณยิ้มรับ “ครับ..” ลาภิณถอนใจออกมา “ตอนปริมอยู่ ผมไม่มีโอกาสขอโทษที่เข้าใจเค้าผิดเลย ตอนนี้ผมทำได้แค่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านั้นเอง”
“คุณปริมเธอไม่ได้โกรธคุณหรอกค่ะ ไม่อย่างงั้นก็คงไม่มาช่วยพวกเรา ถ้าตอนนั้นไม่ได้คุณปริม พวกเราคงตายกันไปหมดแล้วล่ะ”
ลาภิณพยักหน้ารับเพราะเห็นด้วย
“กลับกันเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณมีประชุมตอนบ่าย”

อ่านละคร รากบุญ[อวสาน/2] วันที่ 6 ธ.ค. 55

รากบุญ บทประพันธ์ของ ช่อมณี จากบริษัท ทีวีซีน จำกัด
รากบุญ บทโทรทัศโดย เอกลิขิต
รากบุญกำกับการแสดงโดย ย้ง ธราธร
รากบุญ ผู้จัดโดย ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์
ละครแนวลึกลับ สืบสวน ให้แง่คิดเรื่องความสุขแท้จริง บาปบุญ คุณโทษและคุณค่าของเวลา
ติดตามชมละครเรื่องรากบุญ ได้ทางไมยทีวีสีช่อง 3
ออกอากาศตอนแรก วันที่ 16 พฤศจิกายน 2555
ที่มา manager