@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 3 วันที่ 8 ก.ย. 55

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 3 วันที่ 8 ก.ย. 55

“วันนี้ไม่ทราบว่ากาวเข้ากี่โมง..จากใครคะ? ถ้ากาวเข้ามา จะได้ให้ติดต่อกลับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวป้าโทร.มาใหม่” วางสาย
มะยมวางหูหันไปเม้าท์กับนิค “เฮ้ย!นิค มีข่าวไหนเกี่ยวกับป้าๆ มั่งเนี่ย ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”
“ฉันก็ไม่รู้ ปกติถนัดทำแต่ข่าวสาว 18” นิคหัวเราะสนุก “อย่างตอนนี้ ก็ต้องหัดเต้น ท่ากังนัมสไตล์” พลางเต้นท่าสุดฮิตไปด้วย “เวลาไปเจอน้องๆ จะได้” นิคยังทำเสียงเลียนแบบเพลงฮอต “กังนัมสไตล์” แล้วขยับมาเต้นรอบๆ ตัวมะยม ทำรายกับมะยมเป็นสาวในเอ็มวีเพลงดัง

มะยมหัวเราะขำ พูดเย้า “บ้า.. อย่างแกมันต้องกำนันสไตล์ว่ะนิค”
“โอเค...กำนันสไตล์”
นิคเต้นด้วยลีลาน่าขัน สองคนหัวเราะหันสนุก

ส่วนทางฝั่งสรวง ยังคงถือโทรศัพท์ค้างไว้อยู่ เสียงนิคดังลอดเข้ามายังก้องหู สงสัยกรรณนรีไม่สบาย
“เรื่องแค่นี้...เธอจะไม่สบายเชียวหรือกรรณรี?”



น้ำเสียงของสรวงเหมือนจะค่อนขอด ทว่าดวงตากับฉายแววอาทรอย่างชัดเจน
ที่บ้านกรรณนรียามนั้น กรรณนรีเดินออกมาจะไปทำงาน แต่ต้องชะงัก เจอกาวินทร์กับเกริกมองอยู่

“อ้าว!พี่แก้ว สายป่านนี้แล้วทำไมไม่ไปทำงานล่ะ?”
“แก้ว..รอ กาว” พ่อบอก
“พี่เป็นห่วง...กาวไม่เคยร้องไห้...แต่เมื่อคืน”
เกริกถามเสียงอ่อนโยน “มีเรื่องอะไรลูก?....บอกพ่อกับพี่แก้วมาเถอะ บ้านเราก็มีกันอยู่แค่นี้”
กรรณนรีน้ำตารื้น รีบก้มหน้า ซ่อนน้ำตาก่อนบอก “กาว....กาวไปเจอแม่มา”
กาวินทร์กับเกริกตะลึง
เกริกครางเสียงแผ่วๆ ใจหายบีบคั้นหัวใจ “กาวไปเจอแม่มา”

เวลาเดียวกันภาพิศขับรถมาจอดที่ถนนหน้าปากซอยบ้าน ภาพิศมองเข้าไป ย่านชุมชนเล็กๆ
สภาพความเป็นอยู่ยังเหมือนเดิมเมื่อตอนเธอหนีไป
สภาพความยากจนข้นแค้น ที่ภาพิศไม่อยากเจอ ยังติดตรึงกับเนื้อชีวิตผู้คนในซอย
ระหว่างนั้นป้าจั๊กจั่นกับป้าตั๊กแตนเดินผ่านมา ภาพิศรีบคว้าแว่นดำมาสวมและหันหน้าไปทางด้านอื่นรวดเร็ว สองป้าขาเม้าท์มองดูรถ
“โอ้โห! รถใครวะ ใหญ่ชะมัดยาดเลย” ป้าตั๊กแตนเอ่ยขึ้น
“หลงมาแหงๆ ซอยบ้านเราไม่มีใครรู้จักเศรษฐีแบบนี้หรอก” ป้าจักจั่นบอก
สองป้าเดินลับตัวไป ภาพิศยังคงนั่งนิ่ง คำพูดนั้นยังดังก้องหู และกระทบโดนใจ ภาพิศจะก้าวลงจากรถ แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นรถสรวงกำลังวิ่งตรงมา
“คุณสรวง”
สรวงมองประสานสายตากับภาพิศ ก่อนที่สรวงจะจอดรถ และก้าวพรวดลงจากรถเข้ามาถามเย้ยหยัน
“กลับมาหาผัวเก่า หรือ ชู้?..จะให้เรียกว่าอะไรดี”

ภาพิศเนื้อตัวสั่นสะท้าน ขณะเดินเลี่ยงสรวงไปตามทาง สรวงเดินตาม
“ต่อให้คุณเดินหนี คุณก็หนีไม่พ้นหรอกภาพิศ...”
“ฉันก็แค่..อยากมาหาลูก” ภาพิศบอก จะเดินต่อ
สรวงยกมือถือขึ้น “งั้นเธอว่า ถ้าฉันถ่ายคลิปไปให้คุณพ่อดู..ว่าเธอมาที่นี่...ท่านจะเชื่อว่าเธอกลับมาหาลูก..หรือ...กำลังสวมเขาให้ท่านอยู่”
ภาพิศฉุนกึก “คุณสรวง”
สรวงลดมือถือลง “ฉันไม่ใช้คลิปทำลายเธอ เหมือนที่เธอใช้มันทำลายแม่ฉัน แต่ฉันจะให้เธอตัดสินใจ ว่าจะไปจากคุณพ่อดีๆ หรือจะให้ ฉันส่งคลิปให้ท่านดู”
ภาพิศแย้งมองหน้าสรวง “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
“เธออาจจะใช้จริตมารยากับเรื่องอื่นได้ แต่เรื่องนี้คุณพ่อคงจะเชื่อเธอหรอก ในเมื่อผัวเก่าเธอ นายเกริก เค้าหล่อล่ำน้อยอยู่เมื่อไร”
ภาพิศเพ่งมองสรวง เห็นสรวงยกมือถือขึ้น ตั้งท่าจะถ่ายคลิป
“ออกไปจากชีวิตแม่ฉันภาพิศ ก่อนที่เธอจะไม่ได้อะไรจากคุณพ่อแม้แต่บาทเดียว”
ภาพิศจำต้องเดินกลับไปที่รถ อย่างเกรงๆ ท่าทีของสรวง

สรวงยืนมองจนภาพิศขับรถลับตาไป ก่อนเดินตรงไป เป้าหมายคือบ้านกรรณนรี

ภายในห้องนั่งเล่น สามคนอยู่ในภาวะอื้ออึงตึงเครียด เกริกสลดกาวินทร์กร้าวถามเสียงแข็ง
“แกเสนอหน้าไปหาเค้าทำไม?”
เกริกปราม “แก้ว”
สรวงเดินมาหยุดยืนที่หน้าตัวบ้านแอบมอง เห็นกาวินทร์ตะคอกใส่กรรณนรี
“พี่ไม่เข้าใจ...แกจะเสนอหน้าไปหาคนที่เค้าทิ้งเราทำไมกาว? นอกซะจากว่าแกเห็นว่าเค้าร่ำรวย อยากไปอยู่กับเค้า” กาวินทร์จับแขนกรรณนรีกระชาก “ไปเลย ไป๊! จะได้ให้รู้กันไปเลยว่า ผู้หญิงบ้านนี้มีแต่พวกรักความสบาย ไป๊”
กรรณนรีร้องไห้อย่างคับแค้นใจ “ไม่..พี่แก้ว...กาวไม่เคยอยากไปอยู่กับแม่ และแม่ก็ไม่ได้มีความสุขสบายเหมือนอย่างที่เราคิด”
เกริกตกใจถามละล่ำละลัก “กาว...แม่เป็นอะไรกาว?”
“แม่ถูกคุณหญิงกับลูกดูถูกเหยียดหยาม เหมือนไม่ใช่คน”
สีหน้าสรวงขณะฟังอยู่โกรธขึ้งทันที ขณะที่กรรณนรีพูดต่อ
“เรายังมีสามคนพ่อลูก แต่แม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ชีวิตแม่ไม่มีใครเลย”
กาวินทร์ค่อนขอด “แล้วไอ้ผู้ชายที่แม่หนีไปอยู่กับมันล่ะ? มันไปไหน?”
“พี่แก้วคิดเหรอ คนที่มีลูกมีเมียเค้าจะให้เวลากับแม่ได้...” เสียงดังอย่างขมขื่น “เค้ามาตอนที่เค้าต้องการแม่แค่นั้น แม่ไม่ได้ต่างอะไรจากของเล่นคนรวยหรอก”
เกริกคว้ามือกรรณนรี “เราไปรับแม่กลับนะกาวแม่อยู่ไหน? พ่อจะไปรับแม่กลับ” เกริกจะไป
กาวินทร์ร้องห้ามพ่อ เสียงดัง “อย่านะพ่อ ถ้าเค้าอยากกลับ เค้ากลับมานานแล้ว” กาวินทร์เริ่มเสียงเครืออย่างเจ็บปวด “แต่นี่เค้าไม่เคยคิดจะกลับมา” เสียงของกาวินทร์เปลี่ยนเป็นเยาะ “สมน้ำหน้าทำตัวเอง มันก็สมควรแล้ว”
“แก้ว...อย่าว่าแม่...” เกริกทรุดตัวลงร้องไห้ “เป็นความผิดของพ่อเอง พ่อไม่ดี แม่ถึงได้ออกไปเจอกับสิ่งที่เลวร้าย”
กรรณนรีกอดพ่อ “พ่อ..กาวขอโทษ..กาวไม่น่าเอาเรื่องพวกนี้มาบอกพ่อเลย”
กาวินทร์ลดเสียง พูดแผ่วลง ปลอบพ่อและน้อง “เค้าออกจากชีวิตเราไปนานแล้ว อย่าไปยุ่งกับเค้าอีกเลยนะพ่อ ครอบครัวเรามีกันอยู่สามคน ผม..พ่อ...กาว แค่นี้ก็พอ”

สามคนกอดกันร้องไห้ระงม สรวงมองภาพตรงหน้าด้วยความสลดหดหู่

สรวงเดินออกมายังรถที่จอด ใบหน้าหมอง กับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ ชายหนุ่มคิดในใจ
“ไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่ทุกข์...สรวง...ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เหมือนนั่ง
อยู่บนกองไฟ”

ใบหน้าหล่อเหลาของสรวงคลายความเคร่ง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความแค้น อ่อนลงไปด้วยอย่างชัดเจน
ตรงถนนหน้าสำนักงาน สตาร์อินเทรนด์ เวลานั้น กรรณนรีเดินมาด้วยท่าทางหมองเศร้า สรวงจอดรถ นั่งรอกรรณนรีอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นกรรณนรี สรวงก็รีบลงจากรถดักหน้าไว้

“เธอ”
กรรณนรีตกใจ พอเห็นสรวงก็คอแข็ง “เธอกับใคร”
สรวงเสียงอ่อนลงนิดหนึ่ง “เธอ...เอ่อ...คุณนั่นแหละ ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”
“อยากพูดก็พูดไป แต่ฉันไม่ฟัง” กรรณนรีจะเดินหนีเข้าด้านใน
สรวงถลันไปขวาง “เดี๋ยวก่อนสิเธอ เอ๊ย คุณ” สองคนจ้องตากัน สรวงจะเดินเข้ามาใกล้อีก
ภาพตอนถูกสรวงจูบ ผุดขึ้นในหัวกรรณนรี หญิงสาวมองอย่างหวั่นกลัว ถอยหลังกรูด
“อย่าทำอะไรฉันนะ” กรรณนรีตัดสินใจหันหลังกลับวิ่งหนี
สรวงหน้าตาเลิ่กลั่กไม่คิดว่ากรรณนรีจะวิ่งหนี “จะขอโทษแค่นี้ ทำไมต้องวิ่งหนีกันด้วย” ร้องตะโกนตามหลัง “เดี๋ยวก่อนสิเธอ เดี๋ยวก่อน...”
สรวงวิ่งตามกรรณนรีไปเร็วรี่

กรรณนรีวิ่งหนีมาตามถนน พลางมองหน้าพะวงหลัง เหลียวไปดูสรวงที่วิ่งตามอย่างหงุดหงิด
“คนบ้า จะตามมาทำอะไรฉันอีก” กรรณนรีมัวแต่มองสรวง พอหันกลับอีกที ก็เสียหลักสะดุดล้มร้อง “ว้าย!” ขาพลิก กรรณนรีเจ็บ แต่รีบเหลียวขวับมองไปทางสรวง พร้อมกับถดตัวถอยหนีอย่างหวาดกลัว
สรวงตามมาทันรีบนั่งลงถามอย่างห่วงใย “เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ?” พลางเอื้อมมือไปหมายจะจับดูอาการ
กรรณนรีผวาตัว ร้องลั่น “อย่า” ผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มองจ้องตั้งหลักอย่างเอาเรื่อง
สรวงลุกยืนตาม “คุณเป็นอะไรของคุณ”
“อยู่ใกล้คนบ้ากาม ต้องระวัง”
“ผมไม่ได้หื่นอะไรอย่างนั้นนะ” สรวงว่าพลางขยับจะเข้าไปอีก พร้อมเอามือ ทำท่าปรามๆ
กรรณนรีมองจ้องพยายามข่มความกลัว “ถ้าเข้ามาอีก ฉันถีบ”
สรวงอมยิ้มขำๆ “ก็เอาสิ...ถ้าคุณถีบ ผมจะจูบ จูบมันกลางถนนนี่แหละ”
กรรณนรีทั้งกลัวทั้งโกรธ “คุณสรวง นึกว่าจะกลัวเหรอ?”
สรวงแกล้งยั่ว “ก็เอาสิ..” ขยับเดินเข้ามาใกล้อีก
“ฉันบอกแล้วนะ” กรรณนรียกเท้าถีบเปรี้ยงเข้าที่หว่างขาจังๆ
สรวงร้องเสียงหลง “โอ๊ย” เอามือกุมเป้า
“เอาซี้” กรรณนรี ทำท้าล้อเลียนสรวง “คุณถีบ ผมจูบ ทำได้ก็เข้ามา”
สรวงจ้องหน้ากรรณนรี ถูกกรรณนรีเย้ย แล้วจะเดินหนีไป สรวงก้าวพรวดคว้ามือเอาไว้ จ้อง
ตาเขม็ง ก่อนที่จะกระชากร่างกรรณนรีเข้ามา กรรณนรีร้องกรี๊ด
“อย่าทำอะไรฉันนะ”
สรวงพูดเสียงเข้ม “ถ้าผมจะทำจริงๆ ผมก็ทำได้ จะไปกับผมดีๆ หรือ...” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนจะจูบ
“ไป” กรรณนรีตอบทันควัน

ที่บริเวณโต๊ะด้านนอกของร้านอาหารสวยหรู และบรรยากาศดีแห่งนั้น กรรณนรีนั่งกอดอก เมินหน้าหนีไม่ยอมมองสรวงที่นั่งอยู่กันข้าม
“ฉันคิดทบทวนดูแล้ว...เรื่องระหว่างเราสองคน ต่างคนต่างจบจะดีกว่า”
กรรณนรีสวนคำ “จะจบได้ยังไง?ในเมื่อ ฉันไม่เคยเป็นคนเริ่ม”
สรวงไม่ได้หาเรื่อง พยายามจะอธิบาย “ก็แม่เธอไง”
“คุณเอาแต่โทษคนนั้นคนนี้ แต่ไม่เคยโทษตัวเองแล้วมันจะจบยังไง?”
“ก็ฉันไม่ได้ทำอะไร?”
“ก็พ่อคุณไง” กรรณนรีเถียง พาลใส่สรวง
“อ้าว! นี่...ฉันตั้งใจมาคุยกับเธอดีๆ แล้วไหงมาพาลแบบนี้?”
“ใครพาล? ใครเริ่มต้นว่าแม่ฉันก่อน ไม่ใช่คุณเหรอ? เป็นคนเดินเข้ามาด่าๆๆ แล้วบอกให้จบ”จ้องหน้าสู้สายตา “ถ้าฉันเดินเข้าไปด่าๆๆ แล้วบอกให้จบ คุณจะจบมั้ย”
สรวงชักมีน้ำโห ตอบเสียงดุ “ไม่จบ เพราะคุณพูดไม่รู้เรื่อง เอาแต่อารมณ์ งี่เง่า”
“อ้อ! ที่พูดมาเนี่ยสรุป คุณดีทุกอย่าง แล้วฉันไม่ดีใช่มั้ย? ป่วยจิตที่จะพูดกับคนอย่างคุณ เสื่อม” กรรณนรีลุกพรวด เดินหนีไปทันที
“แค่ฉันจะบอกว่าขอโทษ มันจะอะไรกันนักกันหนากรรณรี” สรวงหงุดหงิดแต่ลึกๆ แล้วห่วงความรู้สึกกรรณนรี

กรรณนรีนั่งอยู่บนรถแท็กซี่แล้ว พูดออกมาอย่างเจ็บใจ
“จะมาให้เค้านั่งด่าทำไม”
ที่ด้านหลัง สรวงขับรถตามมา โดยที่กรรณนรีไม่รู้ตัว

กรรณนรีลงจากแท็กซี่ แล้วเดินเข้าบ้าน สรวงจอดรถมองตาม
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องเธอ ฉันเห็นใจเธอด้วยซ้ำ เธอไม่น่าเป็นลูกของภาพิศเลย กรรณนรี”
สรวงได้แต่บอกตัวเอง

เย็นนั้นภาพิศขับรถมาจอดข้างทาง วงหน้าสวยงามนั้นแสนกลัดกลุ้ม เสียงของสรวงดังก้องในหัว
“ฉันไม่ใช้คลิปทำลายเธอ เหมือนที่เธอใช้มันทำลายแม่ฉัน แต่ฉันจะให้เธอตัดสินใจ ว่าจะไปจากคุณพ่อดีๆ หรือจะให้ ฉันส่งคลิปให้ท่านดู”
ภาพิศนึกถึงตอนสวมกอดลูก พร้อมกับเสียงกรรณนรีดังก้องแทรกเข้ามาติดๆ กัน
“คุณเคยคิดถึงลูกคุณมั้ยคะ”

ภาพิศตัดสินใจเลี้ยวรถกลับทันที
ภาพิศเดินน้ำตาคลอมาที่หน้าบ้าน เห็นกาวินทร์หน้าเครียดอยู่ มาลินีเดินมานั่งข้างๆ บอกเสียงอ่อย

“พี่แก้วก็ว่าแม่เกินไป”
กาวินทร์เสียงดังใส่ “พี่ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่”
ภาพิศสะอึก อึ้งเมื่อได้ยินกับหู น้ำตาเอ่อ มาลินีบอกย้ำความเป็นจริง
“ถึงไม่คิด...แต่เค้าก็เป็น”
กาวินทร์ค้าน “ไม่ใช่”
“แล้วน้ำนมที่ป้อนพี่แก้วจนพี่แก้วโตล่ะ?... แค่คิดก็อกตัญญูแล้วนะพี่แก้ว” มาลินีเตือนสติ
กาวินทร์โกรธกลายเป็นพาล “หยุดเดี๋ยวนี้มด เอาเวลาไปสอนตัวเอง ว่าอย่าตามให้ท่าผู้ชาย ดีกว่ามาสอนพี่”
มาลินีอึ้ง “พี่แก้ว! พี่แก้วจะด่าจะว่ามดยังไง มดไม่ว่า แต่มดไม่อยากให้พี่แก้วตกนรก ยังไงผู้หญิงที่พี่แก้วด่ายังไงเค้าก็เป็นแม่”
กาวินทร์เสียงเครือนิดๆ “แม่พี่ตายตั้งแต่วันที่เค้าทิ้งพี่ไปแล้วมด...สำหรับพี่ อย่าว่าแต่จะไปตามหาเลย ต่อให้เค้ามายืนอยู่ตรงหน้าพี่ก็ไม่มอง”
ภาพิศยินเต็มสองหู น้ำตาไหลรินออกมา เจ็บปวดรวดร้าวเหลือแสน

คืนนั้นภาพิศขับรถตามถนน น้ำตายังเต็มสองตา ก่อนที่จะหักรถเข้าจอดที่ข้างถนนบริเวณริมน้ำ
ภาพิศร้องไห้โฮแบบกลั้นไว้ไม่อยู่ ก้มหน้าซบพวงมาลัยร้องไห้โฮออกมา
“ลูกเกลียดแม่ถึงขนาดนี้เหรอ? ลูกเกลียดแม่ถึงขนาดนี้เหรอ?”
ภาพิศครวญคร่ำ เงยหน้าขึ้นมา น้ำตากลบนัยน์ตาสองข้าง มองไปเบื้องหน้าเห็นผู้ชายคนกวาดถนน อายุเท่ากับเกริก แต่แก่และทรุดโทรมมากกว่า เดินกวาดถนนมา ชายคนนั้นนั่งลงที่ฟุตบาทปาดเหงื่อ สักครู่หนึ่งก็มีเด็กผู้หญิงวัยราว 7 ขวบ อายุเท่ากรรณนรีตอนเด็ก เดินเข้ามาหาแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่หน้าชายคนนั้น ก่อนจะมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ยื่นห่อข้าวให้ สามคนนั่งคุยกัน กินข้าวกันอย่างมีความสุข ชายคนนั้นกอดลูกตลอดเวลา
ภาพิศอึ้งไปในทันที สะท้อนสะเทือนในใจอย่างแรง
“ไม่...ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด” ร้องไห้โฮ เมื่อคิดถึงเรื่องราวครั้งอดีต

เหตุการณ์เมื่อ 10 กว่าปี ก่อน ภาพิศขณะยังเป็นนุดี สาละวนอยู่กับการเลี้ยงลูก ป้อนข้าว ป้อนน้ำให้กรรณนรี ส่วนเด็กชายกาวินทร์อุ้มลูกฟุตบอลเนื้อตัวขะมุกขะมอมวิ่งเข้ามาในบ้าน เสื้อผ้าเลอะดินโคลนไปหมด นุดีร้องลั่น
“ถอดเสื้อผ้าแล้วไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยแก้ว สกปรก ดูสิ...พื้นเพิ้นเปื้อนหมด”
กาวินทร์วิ่งเข้าไปด้านใน ภาพิศป้อนข้าวกรรณนรีต่อ ก่อนหยิบไม้ถูพื้นมาถูบ้าน ท่าทางเหนื่อยล้า
ระหว่างนั้นพิไลผู้เป็นแม่เดินเข้ามา “แต่งงานแล้วชีวิตแกมีอะไรดีมั่งเนี่ยนุดี? วันๆ หัวเหอยุ่งอยู่แต่กับลูก หาความสุขสบายไม่ได้เลย”
พร้อมผู้เป็นพ่อเย้ยหยันผสมโรง “จะสุขได้ยังไง เงินเดือนของไอ้เกริกนิดเดียว อย่าว่าแต่เลี้ยงดูครอบครัวเลย ตัวมันเองยังเอาไม่รอด แก้ว กาวจะโตหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
“จนก็จน...แถมไม่มีความเป็นผู้นำ” พิไลกระซิบ “แม่ว่า แกคิดให้ดีๆ นะนุดี ถ้ามีคนมาให้เป็นหลักยึด แกต้องคว้าเอาไว้ อย่าลืม! หนี้พ่อหนี้แม่ แกก็ยังใช้ไม่หมด ไหนจะลูกจะเต้าอีก” พูดย้ำให้ลูกสาวตระหนัก “คิดดูให้ดีนุดี”
ภาพิศหรือนุดี ทำหน้าครุ่นคิดหนัก

อีกเหตุการณ์ ภายในร้านเสริมสวยเล็กๆ ห้องแถวเก่าๆ ของแฉล้ม นุดีทำผมให้ลูกค้า
แฉล้มเรียกแบบเพื่อนแกมนายจ้าง “นุดี”
นุดีหันมา เห็นแฉล้มยืนอยู่ บุ้ยใบ้ไปที่ถนน “ท่านอารักษ์”
นุดีมองเลยไป เห็นอารักษ์ก้าวลงมาจากรถเบนซ์ อารักษ์ในวันนั้นหล่อ ท่วงทีสง่าสมชายชาติทหาร มาดดูดี อารักษ์ยิ้มมองมา ดวงตาบอกว่าชอบมาก นุดียกมือไหว้ ยิ้มเอียงอาย

ภาพิศดึงตัวเองกลับมา นั่งนิ่งอยู่ในรถ บอกปลอบตัวเอง
“ฉันไม่ผิด ทุกคนย่อมเลือกทางที่ดีที่สุดให้ตัวเอง”
ภาพิศยกแขนปาดน้ำตาก่อนจะขับรถออกไป ไม่สนใจมองครอบครัวคนกวาดถนนแต่อย่างใด

ขณะที่สรวงเดินเข้ามาในบ้าน เห็นสุดาร้องไห้ สรวงพูดเหนื่อยๆ
“คุณแม่ร้องไห้อีกแล้ว”
สุดายื่นหนังสือพิมพ์ให้สรวง ไม่ใช่ สตาร์ อินเทรนด์ “แม่ถูกเขียนด่าอีกแล้ว...หาว่าเป็นเมียหลวงใจยักษ์ แม่ไม่เข้าใจจริงๆ สรวง สังคมทุกวันนี้เป็นอะไร เห็นผิดเป็นชอบกันไปหมด เสื่อม”
อารักษ์เดินเข้ามาทันได้ยินคำพูดของสุดา สองคนสบตากัน สุดาแว๊ดตามนิสัย
“นังเมียน้อยมันไล่ให้มาเอาใบหย่าเหรอคะ”
สรวงปราม “คุณแม่” สรวงหันไปทางอารักษ์ “ผมขอคุยด้วยนะครับคุณพ่อ”

ที่ด้านนอกคฤหาสน์ สรวงเดินตามอารักษ์ออกมา พูดอ้อนวอน
“ผมอยากให้คุณพ่อให้โอกาสคุณแม่”
อารักษ์น้ำเสียงขมขื่น “ที่ผ่านมา พ่อให้โอกาสแม่มากพอแล้ว สรวงคงไม่รู้ที่ผ่านมา...” ท่าทีมีเลศนัย “แม่เค้าทำอะไรภาพิศบ้าง”
สรวงเสียงอ่อน “คุณพ่อก็น่าจะรู้ คุณแม่ทำอย่างนั้นทำไม? ผมจะไม่พูดว่าใครถูกใครผิด แต่เรื่องนี้ทุกคนเจ็บทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่...ผม..ภาพิศ ครอบครัวของเค้าอีก”
อารักษ์หันมาจ้องหน้าสรวงทันที สรวงบอกด้วยท่าทีสลดไม่ได้ก้าวร้าว และไม่ได้ตั้งใจฟ้อง
“วันนี้ผมเห็นภาพิศไปที่บ้านเค้า”
ดวงตาของอารักษ์เบิกกว้าง ส่อแววไม่พอใจ สรวงไม่ได้สังเกต
“แล้วผมก็เห็น...ครอบครัวเค้า มีแต่ความทุกข์ใจ คุณพ่อให้โอกาสคุณแม่นะครับ กลับมาสร้างครอบครัวกันใหม่ ภาพิศเองก็จะได้กลับไปหาครอบครัวเค้าด้วย”
“แม่แกบอกให้แกมาพูดรึไง?”
“เปล่าครับ”
“แล้วภาพิศเค้าบอกเหรอว่าอยากไปจากฉัน” อารักษ์ย้อนถาม
สรวงฉุน เริ่มขึ้นเสียงอย่างถือดี “ไม่มีใครบอกหรอกครับ แต่สิ่งที่ผมพูด มันคือความถูกต้อง”
“ความถูกต้องคือความพอใจของฉัน และฉันก็พอใจที่จะอยู่กับภาพิศ ไม่ใช่แม่แก”
สรวงผิดหวังมาก อารักษ์เดินออกไปอีกด้าน

สุดายืนร้องไห้อยู่ที่ด้านหลังสองคน จากด้านในบ้าน ท่าทางเหนื่อยล้าโรยแรง ไม่มีแรงที่จะอาละวาดแม้แต่นิดเดียว
กลางดึกคืนนั้นสุดานั่งร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างเดียวดาย ขณะคุยโทรศัพท์ไป ปลายสายคือสุขฤทัย ซึ่งยามนั้นอยู่ในผับ

“ค่ะ...” สุขฤทัยตะโกนดังๆ เพื่อให้เพื่อนในโต๊ะได้ยินด้วยอวดโอ้ “คุณหญิงแม่”
“ฤทัยอยู่ไหน?”
“คุยงานอยู่ค่ะ...มีคนติดต่อฤทัยให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ คุณหญิงแม่มีอะไรคะ”
สุดาเสียงแห้งโหย “คุณพ่อขอหย่ากับแม่”
สุขฤทัยตกใจ “อะไรนะคะ?”
สุดาปล่อยโฮร้องไห้แบบยั้งอารมณ์ไม่อยู่ “คุณพ่อ..ท่านขอหย่าแม่แล้ว”
สุขฤทัยหน้าตื่นตกใจ สงสารคุณหญิงสุดาจับใจ

ภายในผับแห่งนั้นสุขฤทัยวางสายไป ก่อนจะหันมาคุยกับเพื่อนอย่างมีอารมณ์
“นังภาพิศนี่มันร้ายจริงๆ”
กาวินทร์ที่นั่งดื่มอยู่ข้างๆ หันขวับ มองจ้อง โดยที่สุขฤทัยไม่รู้ตัว ยังพูดพ่นวาจาด่าทอต่อ
“มารยาสาไถยจนท่านอารักษ์ขอหย่าคุณหญิงสุดา...คนอะไรหน้าด้าน ทั้งเลว ทั้งร้าย ที่น่าเจ็บใจคือพวก สตาร์อินเทรนด์ ยังเข้าข้างมันอีก อย่างว่า...คงเป็นเมียน้อย ลูกเมียน้อย ไม่ก็มีเมียน้อยกันทั้งสำนักพิมพ์ ยิ่งนังนักข่าวที่ชื่อกรรณรี อนาคตเมียน้อยเห็นๆ ถึงได้เข้าข้างนังภาพิศ ขนาดนั้นน่ะ”
กาวินทร์กำมือแน่น พูดแทรกขึ้นมาลอยๆ “คนที่พูดก็อนาคตเมียน้อย”
สุขฤทัยหันขวับมามองทั้งตกใจระคนแปลกใจ “เรื่องอะไรมาว่าฉัน”
“ก็ปากพล่อยๆ ดูถูกคนอื่นแบบนี้ ไม่มีผู้ชายคนไหน เค้ายกให้เป็นเมียแต่งหรอก อย่างดีก็เมียน้อย เมียเก็บ เมียคืนเดียว” กาวินทร์จัดเต็มให้สาวไฮโซปากร้าย
“ไอ้...” สุขฤทัยยกแก้วบนโต๊ะสาดน้ำใส่หน้ากาวินทร์ ทันที
กาวินทร์มองกร้าว จะถลันเข้าใส่ มาลินีวิ่งเข้ามาร้องกรี๊ด ฉุดมือเอาไว้
“อย่าพี่แก้ว”
สุขฤทัยจ้องหน้ากาวินทร์มองท้าทาย พร้อมกับคว้ามือรุ่นพี่ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ มาประกบ ทำท่าก๋ากั๋นสุดๆ บอกกาวินทร์
“อย่ามีเรื่องกับพวกเราจะดีกว่า”
“คงงั้น....เพราะเค้าบอก หมาเห่าอย่าเห่าตอบ ไม่งั้นจะมีหมาเพิ่มอีกตัว”
กาวินทร์พูดจบก็เดินออกไป มาลินีรีบตาม สุขฤทัยมองตามอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฤทัยไม่ยอมนะคะพี่”
รุ่นพี่ชายมาดกร่างคนนั้นมองตามกาวินทร์แววตาดุดัน

ขณะที่กาวินทร์จะเดินออกจากผับกับมาลินี จู่ๆ กาวินทร์ถูกกระชากไหล่อย่างแรง
“เฮ้ย”
กาวินทร์ร้องลั่น เสียหลักซวนเซไป และกาวินทร์ก็ร้องได้แค่นี้เมื่อถูกพรรคพวกของสุขฤทัยอัดเข้าที่ท้องและอีกหลายหมัดจนล้มทรุดลงไปกอง มาลินีได้แต่ร้องกรี๊ดๆ ตกใจเข้าไปประคองกาวินทร์ ขณะที่สุขฤทัยเดินออกมาพร้อมกับพรรคพวก วางท่ากร่างเยาะเย้ยใส่
“บอกแล้วว่าอย่ามีเรื่องกับพวกเรา”
พูดจบฤทัยก็เดินลอยหน้าลอยตา ผ่านกาวินทร์กับมาลินีออกไปด้วยท่วงท่าราวกับนางพญา

ที่หน้าร้านสะดวกซื้อเวลาต่อมา มาลินีซื้อยามาทำแผลให้กาวินทร์ พร้อมกับเอ่ยขึ้น
“มดเคยเตือนพี่แก้วหลายครั้งแล้ว อย่าใจร้อน”
“จะไม่ให้พี่เดือดได้ยังไง ยัยเบื๊อกนั่น ด่าทั้งแม่ ด่าทั้งกาว”
“ก็เค้าไม่รู้...ว่าพี่แก้ว เป็นพี่ของกาว เป็นลูกของ..คุณภาพิศ”
กาวินทร์แย้ง “แต่หล่อนก็พูดเกินไป เรื่องอะไร มาด่าคนอื่นฉอดๆๆๆ”
“เราห้ามคนนินทาไม่ได้หรอกพี่แก้ว” มาลินีเสียงอ่อยๆ “แล้วข่าวของคุณภาพิศตอนนี้ก็ดังทั่วบ้านทั่วเมือง จะห้ามคนวิจารณ์ไม่ได้หรอก”
“มันก็จริง...ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะแม่..แม่ทำตัวเองไม่พอ ยังทำให้กาวถูกด่าอีก” กาวินทร์พูดอย่างขื่นขม

ภาพิศอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่ดวงหน้ายังเศร้าหมองอยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือดัง ทันทีที่กดรับ เสียงของอารักษ์ก็แผดดังขึ้นแบบเคร่งเข้ม และวางอำนาจ
“พรุ่งนี้เธออย่าออกไปไหน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

เช้าวันต่อมานายพลอารักษ์ถามภาพิศเสียงเครียด “เธอไปบ้านเก่าของเธอมาใช่มั้ย?”
“ภาก็แค่...อยากไปหาลูก”
อารักษ์เสียงเข้ม “แต่ฉันเคยสั่งเธอแล้ว ฉันไม่ให้เธอติดต่อคนบ้านนั้นอีกไม่ว่าใครก็ตาม”
“ภาก็ไม่เคยขัดคำสั่งคุณพี่...แต่พอเห็นคุณสรวง...ทำให้ภาอดคิดถึงลูกไม่ได้”
อารักษ์ทวนความจำให้ “ในเมื่อวันนั้นเธอรับเงื่อนไขฉันทุกอย่าง มาถึงวันนี้ไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งนั้นภาพิศ เธอไม่มีสิทธิ์คิดถึงใคร คำสั่งก็คือคำสั่ง”
“งั้น...คุณพี่ก็มีลูกกับภาสิคะ....ภาอยากมีลูก...ลูกของคุณพี่”
คราวนี้อารักษ์นิ่ง สีหน้าอ่อนลง ภาพิศเข้ามากอดอ้อนอารักษ์ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็แอบกดโทรศัพท์ เห็นปลายสายเป็นเบอร์ของสุดา
“นะคะคุณพี่....ภาอยากมีลูก ภาเหงา.. ทุกวันนี้ คุณพี่แทบไม่มีเวลาให้กับภาเลย”
“ถ้ามีลูก...ภาจะไม่ไปจากพี่ใช่มั้ย?”
ภาพิศยิ้มอ้อน “ค่ะ...ภาจะไม่ไปจากคุณพี่ ถ้าเรามีลูกด้วยกัน”
ภาพิศสวมกอดอารักษ์แนบแน่น อารักษ์กอดตอบ

คุณหญิงสุดาได้ยินทุกอย่างมือสั่นระริก ดวงตาฉายโชนเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นคู่นั้นไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
สุขฤทัยแวะมาเยี่ยม กุมมือสุดาแน่นปลอบประโลม สุดาบอกด้วยเสียงเครือสั่น เหมือนพยายามข่มอารมณ์เต็มที่

“ตอนแรกน้าว่าจะหย่า แต่ตอนนี้น้าตัดสินใจแล้ว จะเป็นจะตายก็ไม่หย่า”
“ดีแล้วค่ะคุณน้า ไม่ต้องหย่า ปล่อยให้คำว่าเมียน้อย เมียเก็บ ติดอยู่บนหน้าผากนังภาพิศไปจนตายนั่นแหละ”
“ตัวมันคนเดียวไม่พอ มันยังคิดจะมามีลูก” สุดาเปรยใบหน้าหมอง
“นังภาพิศมันชอบใช้มารยา คุณน้าก็ต้องใช้มั่งค่ะ” สุขฤทัยเสี้ยม
“น้าเป็นคนตรงๆ ไม่มารยาสาไถย น้าทำไม่ได้หรอก” สุดาบอก
“ได้ไม่ได้ก็ต้องทำค่ะ...” สุขฤทัยมองสุดา “คิดว่ามันเป็นเกมสิคะคุณน้า วัดกึ๋นกัน ใครฉลาด คนนั้นชนะ มันชอบยั่วคุณน้า เดี๋ยวฤทัยจะยั่วมันเอง”

ภาพิศกอดประจบอารักษ์ขณะเดินมาส่งที่รถ
“พี่ไปก่อนนะ มีธุระ”
“หวังว่า...เราจะมีข่าวดีเร็วๆ นะคะ”
“จ้ะ”
อารักษ์ขับรถออกไป

สรวงหลบมุมอยู่หน้าประตู พอรถอารักษ์ออกมาสรวงก็รีบหลบอย่างรวดเร็ว รอจนรถอารักษ์แล่นหายไป
น้อยกับเมตตี้จะปิดประตู สรวงเอามือผลักเข้าไป สองคนมองหน้าสรวง ไม่กล้าหือซักแอะ

ภาพิศจะเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้ามีความสุข เสียงมือถือดัง ภาพิศมอง
“เบอร์ใคร” รับสาย “สวัสดีค่ะ”
สุขฤทัยนั่งอยู่กับสุดา รีบถามทันที
สุขฤทัยเน้น “คุณป้า...คุณพี่ออกมาหรือยังคะ”
ภาพิศงง “คุณโทร.ผิดนะคะ” จะวางสาย
สุขฤทัยรีบบอก “ยะ..ยะอย่าเพิ่งวางสายค่า..หนูไม่ได้โทร.ผิด....นั่นคุณป้าภาพิศใช่มั้ยคะ?” ภาพิศตาวาว “คือว่า..คุณพี่อารักษ์บอกหนูว่าจะแวะมาคุยธุระกับคุณป้าแล้วจะรีบมาหาหนู ตกลง..คุณพี่ออกมาหรือยังคะคุณป้า”
ภาพิศโกรธตัวสั่นแต่คุมอารมณ์ แค่นยิ้มพูดย้อน “ถ้าหนูเป็นคนสนิทขนาดนี้ ก็ต้องมีเบอร์ของ
ท่านสิจ้ะ จะโทร.มาหาฉันทำไม”
สุขฤทัยหน้าตาเลิ่กลั่ก มองสุดา มือถือเปิดเสียงสนทนา สุดาได้ยิน สุขฤทัยทำท่าเอาไง
“ก็เผื่อคุณป้า จะมารยาสาไถยไม่ให้คุณพี่ออกมานะสิคะ”
ภาพิศหัวเราะ “ก็ตรงนั้นมันคือเสน่ห์ของป้าที่ทำให้ท่านไปไหนไม่รอดนะสิจ้ะ แต่หนูอุตส่าห์หน้าด้านโทร.มาตาม เอาเป็นว่าป้าเห็นใจ” แกล้งพูดอ้อน “คุณพี่ขา..อีหนูโทร.มาตามให้ไปช่วยส่งเสียค่าเรียน คุณพี่สงเคราะห์ให้ไปซักห้าร้อย ซักพันพอนะคะ เพราะแค่นี้ก็ถือว่ามากสำหรับอีหนูพวกนี้แล้วล่ะค่ะ”
ภาพิศตัดสาย นัยน์ตาวาวโรจน์ ไม่ทันได้ยินเสียงกรี๊ดของสุดากับสุขฤทัย

สุขฤทัยร้องกรี๊ดๆๆๆ เนื้อตัวสั่น พูดแทบฟังไม่ได้ศัพท์
“คุณน้า...มัน...มันด่าฤทัย ค่าตัวแค่ร้อย แค่พัน”
“แหงล่ะสิ เด็กมันได้ร้อยได้พัน เพราะมันไม่มีมารยา ไม่เหมือนแม่ม่ายลูกติดที่มีเทคนิคแพรพราว ท่านเลยเสียให้จนจะหมดเนื้อหมดตัว”
“นังภาพิศมันร้ายมาก”
“ไม่ใช่แค่ร้าย เลวได้โล่” สุดาคำรามในลำคอ

ภาพิศดวงตากร้าว โกรธขึ้ง อารมณ์กรุ่นๆ จะเดินเข้าข้างใน สรวงอยู่ด้านหลังปรบมือให้
“มิน่า... รู้ใจผู้ชายขนาดนี้ คุณพ่อถึงไปไหนไม่รอด”

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 3 วันที่ 8 ก.ย. 55

ละครเรื่อง ไฟมาร บทประพันธ์โดย : เกตุวดี
ละครเรื่อง ไฟมาร บทโทรทัศน์โดย : พนิดา
ละครเรื่อง ไฟมาร กำกับการแสดง : -
ละครเรื่อง ไฟมาร ผลิตโดย : บริษัทดาราวิดีโอ จำกัด
ละครเรื่อง ไฟมาร แนวละคร : ดราม่าเข้มข้น
ละครเรื่อง ไฟมาร ออกอากาศ : พุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา manager