อ่านละคร แค้นเสน่หา ตอนที่ 6
“ชอบหาเรื่องหรือคะ...รุ้งอยากดูแลคุณย่าคุณลุงอย่างดี รุ้งก็ต้องเรียนให้รู้วิธี จะเพราะอะไรมันสำคัญหรือคะ”“สำคัญ...เพราะถ้าไม่เต็มใจ ทำโดยเป็นภาวะจำยอมฉันก็ไม่ต้องการให้ทำ”
“ถ้ารุ้งบอกว่าเต็มใจคุณฉัตต์จะเชื่อไหมคะ”
“ก็ไม่แน่เพราะเธอมันเจ้าคารม พูดอะไรออกมาทีหนึ่งฉันก็ต้องคิดว่าหมายความว่าอะไร”
ฉัตต์อึ้งไปเล็กน้อยแล้วตัดสินใจถามว่าเกลียดเขามากนักหรือ รุ้งสบตานิ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“รุ้งจะไม่เกลียดคนที่เกลียดรุ้งได้ยังไงคะ”
ฉัตต์โมโหก้าวไปบีบแขนเธอแน่น รุ้งสะบัดตัวออกและหมุนตัววิ่งกลับบ้าน ฉัตต์ตามไปคว้าตัวมาเผชิญหน้ากับเขา สองหนุ่มสาวจ้องตากันราวกับโลกจะหยุดหมุน รุ้งเป็นฝ่ายรู้สึกตัว ปลดมือเขาช้าๆ
“รุ้งดีใจกับคุณฉัตต์ที่จะได้ไปไกลๆจากคนที่เกลียด”
รุ้งเดินจากไปนานแล้ว ฉัตต์มองตามจนลับตา รู้สึกเศร้าลึกๆอย่างบอกไม่ถูก...
ooooooo
รุ้งช่วยกันกับยอดตัดใบตองห่อขนมและพากันไปช่วยแม่ในครัว จันทร์นั่งพับกระทงหลายใบพลางบ่นใจหายที่ฉัตต์จะเดินทางไปเรียนต่อในวันรุ่งขึ้น รุ้งมัวแต่เหม่อลอยแล้วหลุดเปรยถึงความสงสัยที่อยู่ในใจมาตลอด
“เรามาจากไหนกันนะแม่” จันทร์ชะงัก รุ้งยิ้มบางๆ พลางปลอบ “ลูกไม่ได้จะให้แม่เล่าหรอกค่ะ แค่รำพึงเท่านั้นว่าสายน้ำที่พัดพาเรามาติดท่าน้ำนี้มาจากไหน”
“แม่บอกแล้วไงว่าวันหนึ่งจะบอกลูก”
“เสียดายที่นายยอดเป็นใบ้ ลูกมองตาเขาก็รู้ว่าเขาอยากเล่ามาก”
ยอดโบกไม้โบกมือปฏิเสธ รุ้งยิ้มบางๆแล้วปลอบว่าไม่เป็นไร เธอไม่ได้อยากรับรู้เรื่องอะไรเวลานี้ จันทร์ถอนใจโล่งอกและออกไปหาใบตองเพิ่มกับยอด ทิ้งเด็กสาวให้นอนอ่านหนังสืิอตามลำพังที่ริมน้ำจนผล็อยหลับไป
ฉัตต์ตามมาเห็นแล้วพานคิดถึงภาพในอดีตที่รุ้งตามดูแล ถูกต่อว่าก็ไม่เคยปริปาก และเมื่อเขาไม่สบายก็เป็นคนเอายามาบังคับป้อนถึงปาก ฉัตต์ดึงตัวเองกลับมา ความรู้สึกที่มีต่อรุ้งเปลี่ยนไปแล้ว แต่เขาไม่อยากยอมรับ ความเอื้ออาทรที่เธอมีให้เสมอ ทำให้ทนใจแข็งต่อไปไม่ไหว ได้แต่ข่มความรู้สึกอ่อนหวานไว้ลึกสุดใจเพราะยังวางตัวไม่ถูก เขามองสาวน้อยที่หลับใหลแล้วอดยิ้มไม่ได้ ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งเมื่อเธอโพล่งออกมาราวกับเก็บกดมานาน
“จะโกรธไปจนตายไหม เรื่องไม่เป็นความจริง เมื่อไหร่จะเลิกเอาความผิดใส่คนอื่นเสียที”
เธอเองก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นเขายืนไม่ห่าง ฉัตต์งงมากแต่ก็ถามกลับว่ามันเรื่องอะไรกัน รุ้งเฉไฉแต่โดนคาดคั้นจนต้องยอมบอกว่า เสียใจเรื่องที่เขาฝังใจว่าเธอกับแม่เป็นตัวโชคร้ายทำให้แม่เขาตาย ฉัตต์ส่ายหน้าพลางปลอบว่าเขาไม่ได้พูดเวลานี้สักหน่อย ทำไมต้องคิดมาก แต่รุ้งก็ไม่หายงอน
“จะพูดเมื่อไหร่ก็เหมือนกัน พูดจนใครตายไปข้างหนึ่งซึ่งก็คงเป็นรุ้ง...ความคิดแบบนี้ก็ไม่หายไป รุ้งหมดปัญญาจะทำให้คุณฉัตต์เปลี่ยนความคิดแล้วค่ะ...หมดแล้วจริงๆ พยายามแล้วแต่ก็ไม่เคยทำได้”
รุ้งลุกพรวดและหมุนตัวออกไป ฉัตต์รั้งข้อมือไว้แล้วขอร้องว่าอย่าเพิ่งไป
“คืนนี้เราจะลอยกระทงกัน พรุ่งนี้ฉันจะเดินทางแล้ว กลับจากโรงเรียนเร็วๆนะ ชายเดียวก็จะมาทานข้าวด้วยเพื่อเลี้ยงอำลา ฉันจะออกเดินทางประมาณสองทุ่ม ก่อนไปฉันมีอะไรจะพูดกับเธอ”
รุ้งสบตาเขานิ่ง แปลกใจที่ไม่มีท่าทีคุกคามเหมือนเคย อยากรู้เหลือเกินว่าเขาอยากพูดอะไรกันแน่
คืนนั้นสมาชิกทุกคนในบ้านปัณณธร รวมทั้งบรรดาคนรับใช้มายืนกันเต็มท่าน้ำเพื่อลอยกระทง คุณหญิงเพ็งเป็นคนเปิดพิธี พนมมือและยกกระทงอธิษฐาน ตามด้วยพจน์ที่เอ่ยขอพรในใจ
“ขอให้ลูกสองคนมีชีวิตสดใสเหมือนแสงเทียนในกระทงนี้...แม้ว่าผมจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ตาม”
จริมาไปยืนข้างพ่อและลอยกระทงพร้อมกัน ในขณะที่จันทร์กับรุ้งลอยด้วยกันอีกฟาก ฉัตต์แอบมองตามรุ้งตลอด จริมาสังเกตเห็นแล้วอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ หมั่นไส้พี่ชายที่ท่ามาก...คอยดูนะจะแกล้งล้อซะให้เข็ด!
เวลาเดียวกัน ที่วังรังสิยา...ชายเดียวประคองท่านหญิงพร้อมกระทงคนละอันมาที่ท่าน้ำพร้อมบรรดาบ่าวไพร่ คุณชายเคียงข้างท่านแม่ไม่ห่างพลางกระซิบให้อธิษฐานแล้วจะเอาไปลอยให้
“ไม่ได้...ลอยกระทงเขาไม่ฝากกัน ต้องลอยเอง แม่จะอธิษฐานนะ” ท่านหญิงจบกระทง “ขอให้ทุกชีวิตในวังรังสิยาเป็นสุขสงบ ขอให้วิญญาณทุกดวง ถ้ายังอยู่ก็ได้ไปสู่สุคติและถือกำเนิดตามวาระอันควรด้วย”
ชายเดียวหน้าเสีย แปร่งหูคำพูดของท่านแม่แต่พยายามไม่คิดมาก อธิษฐานกับกระทงตัวเองแล้วเดินไปลอย ท่านหญิงมองตามแล้วก้มลงปล่อยกระทง ฉับพลันนั้น ก็มีมือลางๆของผีบ่าวคนสนิทมาร่วมลอยด้วย
“ลอยความทุกข์ไปมังคะ ท่านหญิงลอยพร้อมคุณชายนะมังคะ”
ท่านหญิงซาบซึ้งใจมาก อธิษฐานในใจขอให้ดวงวิญญาณเฟืองไปสู่สุคติ เสียงเฟืองลอยมาตามลมว่าจะไม่ยอมไปจากที่นี่ ท่านหญิงไม่สบายพระทัยมาก...กลัวใจผีบ่าวคนสนิทว่าจะก่อโศกนาฏกรรมขึ้นอีก
ooooooo
ผู้คนบ้านปัณณธรพากันตื่นตระหนกเมื่อมีกระทงของคนใดคนหนึ่งพลิกคว่ำ พจน์ใจไม่ดีแต่พยายามตีหน้านิ่งไม่อยากให้เป็นกังวล แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้างเพราะอาการไอของเขารุนแรงมากขึ้นจนจันทร์สังเกตเห็น และตามไปคาดคั้นถึงในห้อง ท่านผู้พิพากษายังปากแข็งและปฏิเสธว่าไม่มีอะไรเหมือนเคยแต่จันทร์ไม่เชื่อ
“ถ้าคุณพี่ยังพูดว่าไม่เป็นอะไร น้องจะออกไปเดี๋ยวนี้ จะไม่พูดกับคุณพี่อีกเลย คุณพี่ปิดบังทำไมคะ ไม่ทราบหรือว่าทุกคนเป็นห่วง น้องเตือนให้ไปหาหมอหลายครั้งแล้ว คุณพี่ไม่ฟังกันเลย”
“คุณหลวงแพทย์รักษาอยู่ ไม่อยากให้คุณแม่ไม่สบายใจและฉัตต์จะกังวลไม่อยากไปเรียนต่อ น้องต้องไม่พูดเรื่องนี้โดยเฉพาะกับตาฉัตต์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็อย่าให้เขารู้ พี่ต้องการให้เขาเรียนต่อ...และไม่ต้องกลับจนกว่าจะจบ”
พจน์คาดคั้นให้สัญญา จันทร์รับปากทั้งน้ำตา สัมผัสได้ในน้ำเสียงของเขาที่ไม่ต้องการให้เธออ่อนแอ
“เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่น้องต้องเข้มแข็งและเป็นหลักให้ทุกคนในบ้าน...เข้าใจไหม”
พจน์ลุกไปเปิดลิ้นชักและหยิบถุงใส่ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดออกมา จันทร์สะเทือนใจเอื้อมมือไปรับมาถือไว้
“น้องจะไม่ยอมให้คุณพี่เป็นอะไรไปง่ายๆ ต่อไปนี้น้องจะคอยดูแลมากกว่าเดิม คราวหน้าถ้าไปหาคุณหลวงแพทย์ น้องจะตามไปด้วย น้องจะไม่ยอมทิ้งความหวัง น้องเองก็ผ่านความตายมาได้ แล้วทำไมคุณพี่จะอยู่ต่อไปไม่ได้”
“อย่าตกใจเกินไปนัก หมอที่ชำนาญโรคปอดดูแลพี่อยู่ พี่ไม่ได้เป็นฝีในท้องและก็ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ”
“คุณพี่คงคิดว่าน้องกลัว ไม่หรอกค่ะ...เพราะน้องจะเป็นคนสุดท้ายที่จะไม่หนีคุณพี่ไปไหน คุณพี่กรุณารับน้องและลูกเป็นคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นน้องจะไม่มีวันทิ้งคุณพี่”
“พี่เป็นคนโชคดีที่ในชีวิตนี้ได้พบผู้หญิงที่ดีพร้อมถึงสองคน...ราตรีกับจันทร์ พี่ไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้แล้ว”
สองพี่น้องมองหน้ากันนิ่ง ถ่ายทอดกำลังใจให้กันและกัน...
เย็นวันรุ่งขึ้นหลังเลิกเรียน...จริมากับรุ้งวิ่งฝ่ากลุ่มนักเรียนไปขึ้นรถเพื่อกลับไปหาฉัตต์ตามที่นัดกัน แต่ถูกกลุ่มคุณหญิงทอแสงฯขวางไว้ ตั้งท่าหาเรื่องเต็มที่และยียวนไม่ยอมหลีกทาง จริมาจะเอาคืนแต่รุ้งห้ามไว้เพราะไม่อยากให้มีเรื่องทะเลาะกัน แต่หัวโจกคนดังไม่ยอมหาเรื่องเอากบมาแหย่คุณหญิงจนแตกกระเจิงทั้งกลุ่ม
เมื่อกลับถึงบ้านสองสาวก็รีบไปหาฉัตต์ พบเขาหน้าตึงคอยอยู่และโกรธมากที่ทั้งสองมาช้า จริมาก้มหน้าร้องไห้ที่โดนดุ ชายเดียวอดสงสารไม่ได้เลยเข้ามาปลอบจนเด็กสาวยิ้มได้ ส่วนรุ้งร้อนใจตามไปง้อ ฉัตต์ไม่ยอมพูดด้วยพร้อมหันหลังให้อย่างจงใจ แต่รุ้งก็ไม่ยอมแพ้ก้าวไปยืนตรงหน้าและอธิบายเสียงอ่อน
“เรามากันไม่ได้จริงๆค่ะ เพื่อนที่โรงเรียนหาเรื่องขัดขวาง กว่าจะฝ่าด่านมาได้ก็ตั้งนาน รีบแทบตาย” ฉัตต์ยังนิ่ง รุ้งชักงอน “คุณฉัตต์อยู่บ้านคอยอย่างเดียว รุ้งกับคุณจริมาสิผจญภัยกันแทบตายยังมาโดนโกรธอีก ไม่ยุติธรรมเลย”
ฉัตต์ไม่ยอมรับคำขอโทษ แต่ผ่อนท่าทีกราดเกรี้ยวลงไปมากเมื่อลากเธอไปทานข้าวเย็น
สมาชิกครอบครัวปัณณธรลงมือรับประทานอาหารกันอย่างสนุกสนาน ชายเดียวพลอยมีความสุขไปด้วยที่แวดล้อมด้วยผู้คนที่คุ้นเคยและเป็นที่รัก...หลังมื้อค่ำแสนสุขก็ถึงเวลาร่ำลา พจน์จึงเรียกลูกชายไปกอดและอวยพร
“ตั้งใจเรียนนะฉัตต์ เรียนให้จบแล้วค่อยกลับ จำไว้...มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ต้องกลับเด็ดขาด”
“ผมรับปากคุณพ่อว่าจะไม่กลับจนกว่าจะเรียนจบครับ”
ฉัตต์ผละออกจากพ่อและขอคุยกับจริมาเป็นการส่วนตัว เด็กสาวงุนงงแต่ก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี
“ส่งข่าวถึงพี่บ้าง พี่คงเหงาถ้าอยู่ทางโน้น น้องขี้เกียจเขียนก็วานรุ้งเขียนก็ได้ ยาวๆเลยนะ”
จริมารู้ทันว่าพี่ชายอยากได้จดหมายจากรุ้งแต่แกล้งตีมึนแหย่ยิิ้มๆ “โอ๊ย...ไม่ได้หรอก น้องรู้ว่าพี่ฉัตต์เกลียดรุ้งจะตาย ขืนให้เขียนความดันคงขึ้นเส้นเลือดแตกตาย แล้วน้องจะทำยังไง มีพี่ชายกับเขาอยู่คนเดียวเท่านั้น”
ฉัตต์งอนเพราะเข้าใจว่าน้องสาวหมายความอย่างที่พูดจริงๆ จริมาหัวเราะชอบใจที่แกล้งสำเร็จ ตามง้อจนเขาใจอ่อน โผเข้ากอดและเอ่ยคำลาทั้งน้ำตา...ถ่ายทอดความรักและความผูกพันให้กันอย่างเต็มหัวใจ
ooooooo
อ่านละคร แค้นเสน่หา ตอนที่ 7
ฉัตต์ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเดินทาง คนที่เหลือจึงนั่งจับกลุ่มคุยรอคอยเวลา ชายเดียวแปลกใจที่มีเพียงพจน์ไปส่งฉัตต์ที่สนามบิน จันทร์อธิบายว่าไม่มีใครอยากไปเพราะกลัวปล่อยโฮกว่าครู่ใหญ่ฉัตต์ก็ลงมาและไปคุยกับรุ้ง “อย่าลืมเหลาไม้เรียวไว้ตีตอนฉันกลับมา”
รุ้งรู้ว่าเขาแกล้งเย้า ยื่นกล่องขนมที่เตรียมมาให้ “ขนมทองเอกที่คุณฉัตต์ชอบค่ะ”
ฉัตต์รับมาแล้วสบตานิ่งเหมือนต้องการส่งสารจากใจ แต่แล้วเขาก็ตื่นจากภวังค์ พูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“ขอบใจ...ฉันมีอะไรให้เธอเหมือนกันอยู่ห้องหน้ามุข... ใช้มันบ่อยๆล่ะ” รุ้งไหว้ขอบคุณ ดีใจทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ฉัตต์ก็เขินไม่น้อยแต่พยายามข่มไว้ “แต่ตอนนี้ขออะไรอย่างได้ไหม...เล่นเปียโนให้ฟังสักเพลง ร้องด้วยนะ”
รุ้งถามว่าอยากฟังเพลงอะไร ฉัตต์บอกว่าวางโน้ตไว้บนเปียโนแล้ว เมื่อรุ้งไปยังห้องหน้ามุขก็ตกใจยกมือทาบอก เห็นแกรนด์เปียโนตั้งแทนหลังเก่าที่เคยเล่นตั้งแต่เด็ก เธอลูบไล้มันด้วยความรักก่อนลงมือเล่นเพลงที่ฉัตต์ขอ
“โอ้ละหนอดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง โอ้ว่าดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วงรักเจ้าดวงเดือนเอย”
ฉัตต์ได้ยินเสียงเพลงก็สะเทือนใจมาก พจน์มาตามให้ออกเดินทาง เด็กหนุ่มจึงไหว้ลาทุกคนรวมทั้งจันทร์ สุดท้ายก็ไปกราบคุณย่า คุณหญิงเพ็งกอดหลานชายแน่นน้ำตาซึมและให้พร ฉัตต์ค่อยๆผละไปที่ประตู ยอดมาดักหน้าจะไหว้ ฉัตต์ยกมือห้ามและฝากฝังให้ดูแลบ้านแทนตน อดีตคนสวนพยักหน้ารับและตามไปส่งที่รถ
รุ้งเล่นเพลงถึงท่อนสุดท้ายพอดีเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ตรถ เธอหยุดเล่นรีบวิ่งไปหน้าบ้าน ทันได้สบตาฉัตต์ที่ยืนข้างรถพร้อมกับชายเดียว สองหนุ่มสาวจ้องตากันราวกับถูกมนต์สะกด สุดท้ายฉัตต์ก็เป็นฝ่ายได้สติ เปิดประตูรถและก้าวไปนั่ง รุ้งได้แต่ยืนมองตรงนั้นจนกระทั่งไฟท้ายรถลับสายตา
รุ้งเสียใจมากที่ไม่ได้ลาฉัตต์ เก็บความน้อยใจไว้กับอกไม่ยอมบอกใคร จริมาเห็นเพื่อนรักนั่งเหม่อที่ท่าน้ำในวันรุ่งขึ้นก็พอเดาได้เพราะเห็นเหตุการณ์ตลอด เธอพยายามปลอบใจแต่ไม่ค่อยได้ผล
“อยู่บ้านเดียวกันนะ เกลียดแค่ไหนไปตั้งหลายปีก็ควรจะลา รุ้งอยากลาคุณฉัตต์ ทำไมเขาไม่ให้ลา”
“บางทีนะ...ที่ไม่ยอมให้ลาก็ไม่ใช่เพราะเกลียดก็มี จิตมนุษย์นี่ไซร้ยากแท้หยั่งถึง”
รุ้งคิดตาม นิ่วหน้าเหมือนยังไม่เข้าใจ ตั้งท่าจะถามแต่จริมาเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเสียก่อน
“ไปดีกว่า...เศร้าทำไม เดี๋ยวจดหมายก็มา”
ooooooo
คำพูดของจริมาเป็นจริงในหลายเดือนต่อมา จริมารู้ดีว่าเพื่อนตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้จดหมายจากพี่ชายจึงแกล้งกระบิดกระบวนจนรุ้งทนไม่ไหว หยิบกรรไกรขึ้นมาตัดซองเปิดอ่าน จริมาแกล้งโวยวาย รุ้งจึงยื่นให้อ่านก่อน
อ่านละคร แค้นเสน่หา ตอนที่ 6-7 วันที่ 17 ก.ค. 56
ละครแค้นเสน่หา บทประพันธ์โดย : วราภาละครแค้นเสน่หา บทโทรทัศน์โดย : อ.แดง ศัลยา
ละครแค้นเสน่หา กำกับการแสดงโดย : สำรวย รักชาติ
ละครแค้นเสน่หา ผลิตโดย : บริษัท ฮูแอนด์ฮู จำกัด
ละครแค้นเสน่หา ควบคุมการผลิตโดย : วรายุทธ มิลินทจินดา
ละครแค้นเสน่หา ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ