@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร รักเกิดในตลาดสด ตอนที่ 12/2 วันที่ 21 ส.ค. 55

อ่านละคร รักเกิดในตลาดสด ตอนที่ 12/2 วันที่ 21 ส.ค. 55

“ว่าไง จ็อบที่เอ็งสัญญาว่าจะทำระหว่างที่ข้าไม่อยู่” ต๋องพูดแล้วดึงตัวแกละมาใกล้ๆ
“โธ่...ชั้นพกไว้กับตัวตลอดล่ะ” แกละรีบบอก
แกละหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากย่ามที่สะพาย ต๋องคว้ามา แกละรีบดึงมือหลบ
“แล้วค่าจ้างที่พี่สัญญาจะให้ชั้นล่ะ” แกละรีบทวง

“มันก็ต้องดูที่ผลงานก่อนซิวะ” ต๋องว่า
ระหว่างนั้นกิมลั้งเดินเข้ามาพอดี
“คุยด้วยคนได้มั้ยเอ่ย” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“เอ้า กิมลั้ง มาซิ มาคุยกัน นี่ไอ้แกละตัวแสบที่ชั้นเคยเล่าให้ฟังไง” ต๋องว่า
“ฮะ นี่พี่กิมลั้งแฟนพี่เหรอ โธ่ ชั้นไหว้ล่ะ” แกละพูด พลางยกมือไหว้ จนกิมลั้งรับไหว้แทบไม่ทัน
“พี่ไม่มีใครให้รักแล้วเหรอ ถึงมารักชอบคนบ้าอย่างพี่ต๋อง” แกละเอ่ยขึ้น



“นี่แน่ะ คนบ้า” ต๋อบพูดพลางถีบแกละกระเด็น
“เห็นมั้ยพี่ นอกจากบ้าแล้วยังโหดร้าย” แกละยังใส่ไฟต๋องอีก
“ตกลงเอ็งจะเอาค่าจ้างมั้ย” ต๋องเอ่ย
“ค่าจ้างทำงาน ก็ต้องเอาซิพี่สุดหล่อ” แกละเปลี่ยนท่าที
“ไม่ใช่ ค่าจ้างเอ็งให้ไปไกลๆจากตรงนี้” ต๋องเอ่ยพร้อมโชว์เหรียญ 5 ให้แกละดู
“ห้าบาท พี่เห็นมั้ย บ้า โหดร้าย แล้วยังงกอีก” แกละหันไปฟ้องกิมลั้ง
“ไม่เอาใช่มั้ย” ต๋องพูดแล้ว ทำท่าจะเก็บเหรียญ
“เอา” แกละหยิบสตางค์จากมือต๋องแล้ววิ่งหนีไป
“ต๋องจ้างแกละทำงานอะไรเหรอ”

เวลาต่อจากนั้น กิมลั้งกับต๋องนั่งคุยกันใต้ต้นไม้กลางทุ่งนา
“แกละมันช่วยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ให้ช่วงที่ชั้นอยู่กรุงเทพน่ะ” ต๋องเล่า แล้วเปิดสมุดดูหนักใจไม่เบา
“ข้อมูลอะไร ทำไมหน้าเครียดจัง” กิมลั้งถามขึ้น
“ก็หลายอย่างน่ะ เช่นที่นาแถวนี้ถูกขายไปแล้วกี่แปลง ควายหายไปกี่ตัว อีแต๋นเพิ่มมากี่คัน แต่เท่าที่อ่านดู อะไรๆมันเปลี่ยนไปเยอะมากจนน่ากลัว” ต๋องเล่า
“ทำไมเหรอ” กิมลั้งถามอย่างสงสัย
“เธอดูนะ ชั้นไม่อยู่แค่ไม่กี่เดือน แต่ว่าผืนนาที่เป็นที่ทำมาหากินของคนแถวนี้ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดถูกขายเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว” ต๋องแจง
“เอ้า ขายนาแล้วเค้าจะใช้อะไรทำกินต่อไปล่ะ เงินที่ได้มาซักวันนึงก็ต้องหมดไป อ๋อ...หรือเค้าเอาไปลงทุนทำอย่างอื่น” กิมลั้งถาม
“ชาวนาน่ะทำอะไรไม่เก่งเท่าทำนาหรอกกิมลั้ง สุดท้ายเค้าก็รับจ้างทำนาในที่นาที่เคยเป็นของตัวเองน่ะล่ะ น่าเศร้าใจมั้ย” ต๋องเล่าอย่างเศร้าใจ
“ถ้างั้นเค้าจะขายนากันทำไม ในเมื่อเค้าเลือกที่จะเป็นนายของตัวเองได้” กิมลั้งถามอย่างสงสัย
“เพราะเค้าถูกเอาเปรียบไงกิมลั้ง ขณะที่ชาวนาทำนา มันก็มีนายทุนมาทำนาบนหลังชาวนาอีกที พวกมันปล้นทั้งความเป็นคน ปล้นทั้งเงินชาวนาด้วยการกดราคาข้าวให้ต่ำ สุดท้ายชาวนาก็เป็นหนี้เป็นสิน แต่รู้มั้ย พอนาตกไปเป็นของไอ้พวกโจรนายทุน ราคาข้าวต่ำๆกลับถูกเสกให้สูงขึ้นเป็นเท่าตัวเหมือนเล่นกล ขณะที่ค่าจ้างรับทำนาของชาวนาก็ยังถูกกดให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหมือนเดิม” ต๋องพร่างพรู
“แล้วทำไมเธอไม่ให้ข้อมูลพวกนี้กับพวกเค้าล่ะ” กิมลั้งถามต่อ
“เค้าเลือกเข้าใจในสิ่งที่เค้าอยากเข้าใจน่ะกิมลั้ง ยังไงเค้าก็ยังถูกหลอกให้เป็นทาสของสังคมที่บูชาเงินต่อไป เค้าถูกหลอกให้หิวโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองไม่ได้หิวขนาดนั้น” ต๋องพูดด้วยน้ำเสียงสุดปลง
“แบบนี้อีกหน่อยก็คงไม่เหลือนาที่เป็นของชาวนาแท้ๆอีกต่อไป” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“แต่มันจะไม่เกิดขึ้นกับที่นาของชั้นแน่ ชั้นจะทำให้ทุกคนรู้ว่าเงินทองมันแค่ของมายา ข้าวปลาต่างหากที่เป็นของจริง แค่เราใช้ชีวิตเพียงพอกับวิถีเกษตรแบบพอเพียงอย่างที่ในหลวงบอกไว้ได้ เราก็จะเป็นชาวนาที่ร่ำรวยความสุขที่สุด โดยไม่ตกเป็นทาสของอะไร” ต๋องเอ่ย
“เธอทำได้ยังไงต๋อง” กิมลั้งถามขึ้น
“ทำอะไร” ต๋องยังไม่เข้าใจ
“ก็ทำให้ชั้นภูมิใจในตัวเธอขึ้นทุกวันทุกวันไง” กิมลั้งโพล่งขึ้น
เธอมองต๋องด้วยความปลาบปลื้ม ต๋องยิ้มรับกับสิ่งที่กิมลั้งเอ่ยออกมาอย่างภูมิใจ

บ่ายนั้น กิมฮวยนอนหลับพักผ่อนอยู่นอกระเบียงบ้านของต๋อง แต่ต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดดังลั่นทุ่ง
“ว้าย.../ กรี๊ด...” ชมพู่กับคิตตี้ส่งเสียงดังลั่น
สองสาวใส่ชุดผ้าถุงตีโป่งกันอย่างสนุกสนานอยู่ในน้ำ กิมฮวยรีบเดินมาหาต้นเสียงอย่างหงุดหงิด
“อาชมพู่ คิตตี้ อะไรมันเข้าไปกัดส่วนสำคัญของพวกลื้อฮะถึงได้ร้องกันลั่นขนาดนี้” กิมฮวยตะโกนด่า
“คนเรามันก็ต้องรู้จักปลดปล่อย ทำตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวตัวเดียวกับธรรมชาติบ้างซิเจ๊ ชีวิตมันจะได้มีจิตวิญญาณ” คิตตี้ว่า
“ถ้างั้นลื้อสองคนก็คงเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้วล่ะ คนหนึ่งก็อวบเป็นคางคก อีกคนก็แห้งเป็นจิ้งเหลน ยังมีหน้ามาอวดส่วนสัดไม่อายผี” กิมฮวยด่าคิตตี้กับชมพู่อีกรอบ
“ว่าแต่พวกชั้นดีไปเถอะ เดี๋ยวเจ๊ก็ต้องอวดหุ่นฮิปโปโปเตมัสตอนลงมาอาบน้ำตรงนี้เหมือนกันล่ะว้า เพราะที่นี่เค้าไม่มีห้องน้ำให้เจ๊อาบหรอกนะจะบอกให้” ชมพู่ว่า
“ไม่มีห้องน้ำ ? นี่ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่ายหรือมักง่ายกันแน่หะ อั๊วชักจะไม่ไหวแล้วนะ” กิมฮวยเริ่มบ่น
“ไม่ไหวก็กลับกรุงเทพซิเจ๊ ปล่อยกิมลั้งไว้นี่ล่ะ เดี๋ยวต๋องเค้าดูแลให้เอง” คิตตี้ว่า
“อากิมลั้ง พวกลื้อเห็นอากิมลั้งบ้างมั้ย” กิมฮวยเพิ่งนึกขึ้นมาได้
“แหม...เจ๊ ชั้นไม่เห็นหรอก แล้วก็ไม่อยากเห็นให้ตาร้อนด้วย เจอมนต์รักลูกทุ่งของพี่ต๋องเข้าไป ป่านนี้คงไปสวมบทบาททองกวาวกับไอ้คล้าว กันอยู่ที่กองฟางแถวไหนแล้ว” ชมพู่เอ่ย
“อ๊าย” กิมฮวยได้ยินถึงกับกรี๊ด แล้วรีบเดินอย่างรีบเร่งออกไปหากิมลั้ง
ชมพู่คิตตี้หัวเราะชอบใจที่แกล้งกิมฮวยได้


ครู่หนึ่งกิมฮวยเดินไปที่ท้องนา แล้วได้ยินเสียงหนุ่มสาวหัวเราะร้องวี้ดว้ายอยู่ไม่ไกล กิมฮวยรีบกวาดสายตามองหา เห็นต๋องกับกิมลั้งวิ่งกันอยู่ในท้องนาอย่างสนุกสนาน
“ถึงกับไล่กอดรัดฟัดเฟ้นกันกลางนาเลยเหรอ” กิมฮวยโกรธจนตัวสั่น แล้วรีบมุ่งไปหาต๋องกับกิมลั้งทันที
“ลื้อทำอะไรอากิมลั้ง” กิมฮวยตะโกนสุดเสียง
ต๋องและกิมลั้งหันมา กิมฮวยจึงเห็นทั้งคู่ถืออุปกรณ์จับปลากันอยู่ถึงกับงงไป
“อั๊วกำลังช่วยต๋องจับปลาไปให้แม่ทำกับข้าวน่ะม้า” กิมลั้งรีบตอบ
“แล้วลื้อมาจับปลากันสองต่อสองเนี่ยนะ” กิมฮวยเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
“น้ากิมฮวยจะลงมาช่วยเป็นสามต่อสามก็ได้จ้ะ” ต๋องว่า
“ลงมาซิม้า ในนานี่ปลาเต็มไปหมดเลย ไล่จับปลาตัวเป็นๆนี่สนุกดีเหมือนกันนะม้า แต่ละตัวทั้งยาว ทั้งใหญ่ จับเต็มไม้เต็มมือ เนื้องี้แน่นแข็งปึก” กิมลั้งเอ่ย
“พอแล้วอากิมลั้ง เป็นผู้หญิงยิงเรือเที่ยวไปไล่จับปลายาวใหญ่กับผู้ชายในน้ำได้ยังไง ขึ้นมา...” กิมฮวยฟังที่กิมลั้งบรรยายแล้วหวาดเสียวจึงรีบเรียกลูกขึ้นมา กิมลั้งรีบทำตามอย่างเชื่อฟัง
“ไปล้างเนื้อล้างตัว แล้วเปลี่ยนชุดเลยไป” กิมฮวยสั่ง กิมลั้งหันมามองต๋องห่วงๆ
“ไม่ต้องห่วงอีหรอก เรื่องจับปลาคนเดียวสองมือสามมือน่ะอีถนัดอยู่แล้ว” กิมฮวยเอ่ยขึ้นอย่างค้อนๆ แล้วเดินไปที่ริมคันนาเห็นปลาชุกชุม
“ไอ้หยา...ปลาในนี้เยอะจริงๆด้วย” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“นาที่นี่อาหารสมบูรณ์น่ะจ้ะ พวกปลาเลยเข้ามาอยู่กันเยอะ ยิ่งพากันมาอยู่ พวกมันก็ยิ่งช่วยทำให้นาสมบูรณ์เข้าไปอีก” ต๋องว่า
“ถ้ามีมากขนาดนี้ทำไมลื้อไม่จับไปขายให้จริงจังล่ะตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ราคาอยู่แล้ว” กิมฮวยเอ่ย “ไม่ดีกว่าจ้ะ ทุกวันนี้บ้านชั้นใช้ชีวิตแบบพอกินพออยู่ก็มีความสุขแล้ว” ต๋องตอบ
“อาต๋อง...ทำไมลื้อไม่รู้จักคิดการณ์ไกลฮะ คนเรามันก็ต้องรู้จักเก็บจักออมเงินไว้ใช้ในวันหน้า” กิมฮวยว่า
“อ้อ...ชั้นแบ่งเก็บอยู่แล้วจ้ะ” ต๋องเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ใช่...ลื้อต้องหาต้องเก็บให้มันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้” กิมฮวยโพล่งขึ้น
“แล้วเราจะหาเงินมากๆไปทำไมล่ะน้า” ต๋องถามตรงๆ
“พูดเหมือนลื้อโง่เลยนะ ก็ถ้าเก็บได้มาก โอกาสที่ลื้อจะใช้เงินไปซื้อหาความสุขมันก็จะมากขึ้นด้วยไง” กิมฮวยเอ่ย
“ทุกวันนี้ชั้นกับที่บ้านก็มีความสุขกับชีวิตดีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปหาภาระเกินตัวให้เครียดให้ทุกข์เพื่อหาเงินมาซื้อความสุขด้วยล่ะจ๊ะพวกที่ทำอย่างนั้นทั้งที่หาความสุขใกล้ตัวได้ง่ายๆนี่ ชั้นว่าโง่กว่าชั้นเยอะเลยนะ...น้าว่ามั้ย” ต๋องตอบพลางหัวเราะ
กิมฮวยเจ็บใจ เจอต๋องหลอกด่าอย่างอ้อมๆ จึงรีบเดินหนีไปอย่างดื้อๆ


กิมฮวยเดินหนีต๋องอย่างเสียอารมณ์ จนเจอกล้ากับแก้วที่เก็บผักจากแปลงเพื่อไปทำกับข้าว
“เอ้า...เจ๊ ไปเดินเล่นมาเหรอจ๊ะ” แก้วทักกิมฮวย
“อั๊วก็เดินเล่นไปคิดนั่นนี่ไปน่ะ” กิมฮวยตอบ
“ดีจ้ะดี...ฝึกคิดนั่นนี่ไว้ให้เยอะ สมองจะได้ไม่เสื่อมเร็วอย่างชั้น นี่....ชั้นได้ยินมาว่าการเล่นไพ่นี่ช่วยฝึกสมองได้ดี คืนนี้เรามาประลองไพ่ตองกันซักตาสองตามั้ยเจ๊” แก้วเสนอ
“อั๊วไม่ชอบเสียเวลามาบวกเลขในไพ่หรอกอาแก้ว อั๊วสนุกกับการบวกเลขในแบงก์เป็นปึกๆมากกว่า สมองไหลลื่นกว่าเยอะ เผอิญอาชีพขายปลาของอั๊วน่ะมันรายได้ดีจนนับตังค์กันไม่หวัดไม่ไหวน่ะ” กิมฮวยตอบ
“ใช่ๆ อาต๋องบอกว่าเจ๊น่ะเซลฟิช” กล้าเอ่ยขึ้น
“นี่หาว่าอั๊วเห็นแก่ตัวเหรอ” กิมฮวยเข้าใจผิดเป็นภาษาอังกฤษอีกคำ
“ชั้นพูดเหรอ? ชั้นบอกว่าเซลฟิช เซลแปลว่าขาย ฟิชแปลว่าว่าปลา เซลฟิชก็ขายปลา ชั้นพูดผิดตรงไหน” กล้าว่า
“แล้วไป นี่ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะ อั๊วขอพูดอะไรตรงๆได้มั้ย” กิมฮวยเอ่ย
“อุ๊ย...พูดตรงๆน่ะล่ะดี เพราะชั้นสองคนเกลียดที่สุดอีพวกตอแหล” กล้าว่า
“คืออย่างนี้...อั๊วกำลังคิดว่าถ้าเกิดลูกสาวอั๊วต้องตกมาเป็นลูกสะใภ้ของที่นี่แล้วชีวิตจะเป็นยังไงต่อไป” กิมฮวยเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“ดูๆแล้วเจ๊คิดว่าเป็นยังไงล่ะจ๊ะ” กล้าเอ่ยถามกลับ
“ไม่รู้ซิน่ะ ปกติอั๊วคนที่บ้านอั๊วก็อยู่กันแบบสุขสบาย มีเงินเหลือกินเหลือใช้มาซื้อนั่นนี่อำนวยความสะดวกให้ชีวิตได้ แต่ที่นี่พวกลื้ออยู่กันแบบพอเพียงจนไม่รู้ว่าจะเลี้ยงดูลูกอั๊วให้พอกินมั้ย” กิมฮวยเอ่ย
“โอ๊ย...ไม่ต้องห่วงเจ๊ ชั้นก็ไม่อยากโม้โอ้อวดหรอกนะ แต่ไหนๆเราก็เหมือนคนกันเองแล้ว ก็ต้องบอกให้เจ๊รู้น่ะว่า...สมบัติมากมายของชั้นกับแม่แก้วน่ะมันก็ฝังอยู่ผืนไร่ผืนนาที่นี่น่ะล่ะ ไอ้ต๋องมัน
รู้ดี รับรองว่าลูกสาวเจ๊ไม่มีทางอดตายไปทั้งชีวิต” กล้ากระซิบบอกกิมฮวย จนอีกฝ่ายตาโต
“ตากล้า...แกกระซิบอะไร พูดให้ชั้นได้ยินบ้างซิ” แก้วโพล่งขึ้น
กล้ารีบกระซิบข้างหูแก้ว
“อ๋อ...พูดถึงสรพงศ์” แก้วเอ่ยพร้อมยิ้มชอบใจ
“ไม่ใช่...สมบัติ” กล้ารีบขัด
“อ๋อ...สมบัติ” แก้วตะโกนเสียงดังเพราะหูตึง
“เบาๆซิวะยายแก้ว เดี๋ยวใครมาได้ยิน” กล้ารีบพูด พร้อมเข้าไปปิดปากแก้วกลัวคนอื่นได้ยิน
กิมฮวยฟังแล้วเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา

เย็นนั้น ต๋อง กิมลั้ง แก้ว กล้า กิมฮวย คิตตี้ ชมพู่ รอกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย
สาวๆช่วยกันยกสำรับมาวางขณะที่คิตตี้ตักข้าวรออยู่หน้าบ้าน
“ว้าว...หอมฉุยเลย” คิตตี้ว่า
กิมฮวยดูไม่ปลื้มกับอาหารตรงหน้า
“ชั้นเดินถือมาน้ำลายงี้แทบไหลลงจาน” ชมพู่ว่า
“แหม...ถ้าน้ำลายไหลแล้วยังจะรออะไรล่ะ มา...ลงมือ” กล้าว่า พร้อมใช้มือเปิบข้าวทันที
“ฮะ นี่จะใช้มือกินกันเหรอ อั๊วกินไม่เป็นนะ” กิมฮวยตาลุกวาว
“แค่นี้ไม่มีปัญญา..เอ๊ย..ไม่มีปัญหา ชั้นเตรียมการไว้แล้ว” กล้าพูด พลางลุกขึ้นไปหยิบไม้ไผ่คล้ายตะเกียบที่เหลาไว้สองคู่มายื่นให้กิมฮวยกับกิมลั้ง
“ชั้นเหลาไม้ไผ่เผื่อไว้ให้น่ะ เห็นต๋องมันเคยเล่าว่าบ้านเจ๊เน้นกินตะเกียบ” กล้าว่า
“ของหนูไม่เป็นไรค่ะ หนูอยากลองเปิบข้าวกินดู” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
ต๋องดีใจรีบแกะปลาใส่จานให้กิมลั้ง แล้วเอาน้ำพริกราดให้ กิมลั้งกินข้าวอย่างมีความสุข
“อร่อยมากๆเลยจ้ะแม่” กิมลั้งเอ่ยกับแก้ว
“ลองน้ำพริกสูตรเด็ดของชั้นหน่อยนะจ๊ะเจ๊” แก้วเอ่ยขึ้น แล้วทำท่าจำตักน้ำพริกให้กิมฮวย
“อั๊วไม่กินกะปิ...เหม็น” กิมอวยรีบพูดแล้วยกจานข้าวหนี
“เหม็นตรงไหน มาทางนี้เลยจ้ะแม่” ชมพู่เอ่ยขึ้นพร้อมหยิบถ้วยน้ำพริกจากแก้วแล้วตักใส่จานตัวเองและคิตตี้ สงสาวใช้มือคลุกข้าวกับน้ำพริก
“สาม...สี่...” ชมพู่กับคิตตี้เอ่ยขึ้นพร้อมกัน พร้อมเปิบข้าวเข้าปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย
“พ่อแก้วแม่แก้ว...อุ๊ย...พ่อกล้าแม่แก้ว ทำไมทารุณแขกด้วยอาหารรสเลิศแบบนี้คะ กลับกรุงเทพแล้วหนูหามากินไม่ได้ทำไงเนี่ย” คิตตี้ว่า
“ลองหน่อยซิน้ากิมฮวย กะปิคลองโคนน่ะขึ้นชื่อว่าหอมอร่อยนะ” ต๋องว่า
“ลองนิดนะม้า”
กิมลั้งตักน้ำพริกใส่จานให้ กิมฮวยลองใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวในจานกินอย่างเสียไม่ได้
“อ๊าย...เผ็ด” กิมฮวยร้องลั่นออกมา
กิมลั้งส่งน้ำให้กิมฮวยดื่ม
“เผ็ดมากเลยเหรอเจ๊” แก้วถามกลับอย่างหน้าเสีย
“เผ็ดมาก แต่ก็อร่อยมาก” กิมฮวยเอ่ยขึ้น ทุกคนได้ฟังแล้วถึงกับยิ้ม
“แต่ถ้าเจ๊เปิบกินกับมือนะ มันจะอร่อยมั่กๆ” กล้าว่า
กิมฮวยลองใช้มือเปิบ ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆแต่เริ่มสนุกจนถึงกับวางตะเกียบ
“นี่...จานนี้แกงป่าสูตรแม่แก้ว เลื่องลือไปทั้งตำบล ไม่กินไม่ได้เด็ดขาด”
ทุกคนกินข้าวกันอย่างมีความสุข
“ตายแล้ว...แม่แก้วต้องโดนผีแดจังกึมสิงตอนทำกับข้าวแน่ๆ” ชมพู่ว่า
“รสชาติทั้งเผ็ดนำ เปรี้ยวตาม เค็มประสาน หวานตบ” ชมพู่ว่า
“หมูอะไรทำไมเนื้อเหนียวๆกรุบๆแปลกลิ้นดี” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่เนื้อหมูหรอกจ้ะ เนื้อหนู...” แก้วตอบ
“หนู!” บรรดาสาวๆช็อกไปตามๆกัน
“จ้ะ...หนู” แก้วรีบแจง
สาวๆวิ่งออกไปอาเจียนโดยมิได้นัดหมาย


คืนนั้น กิมฮวยนุ่งกระโจมอกห่มผ้าเช็ดตัวเดินถือขันพร้อมอุปกรณ์จะไปอาบน้ำระหว่างทางเดินไปคลอง ระหว่างทางต๋องขุดอยู่ตรงพุ่มไม้ไม่ไกลกัน กิมฮวยมองด้วยความสนใจ แอบคิดถึงเรื่องเมื่อบ่ายที่กล้าบอกว่าที่บ้านต๋องมีสมบัติมากมาย กิมฮวยจ้องต๋องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทำท่าจะแอบเข้าไปดูใกล้ๆแต่แล้วแอบเปลี่ยนใจ
“ไม่ใช่ตอนนี้” กิมฮวยพึมพำกับตัวเอง

เวลาเดียวกันนั้น ชายศักดิ์กับรัศมีนั่งทานข้าวอยู่ในร้านอาหารและสนทนากันด้วยความเครียด
“ไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะตอนไหนคะ เผาๆตลาดมันซะให้วอดวาย จะได้จบๆเรื่อง” รัศมีว่า
“รัศมี...ชั้นว่าเธอจะไม่ใช้หัวสมองขึ้นเรื่อยๆนะ มันโจ่งแจ้งเกินไป เข้าใจมั้ย คิดดูซิว่าถ้าไฟไหม้ตลาดขนาดนั้นใครจะถูกเพ่งเล็งเป็นอันดับ แรกถ้าไม่ใช่ห้างเรา แล้วชั้นนี่ล่ะที่จะซวยก่อนเพื่อน” ชายศักดิ์ว่า
“ก็หาวิธีอย่าให้เรื่องมันมาถึงเราซิคะ” รัศมีว่า
“ที่ผ่านมาชั้นไม่เห็นจะขว้างงูให้พ้นคอซักที” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“โอ๊ย...ทำนู่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้” รัศมีบอก
ทันใดนั้นเสียงมือถือรัศมีดังขึ้น
“ได้ความว่าไง อะไรนะ วันนี้มีคนเข้าห้างแค่ 73 คน ฮะ...แต่ 39 คนจาก 73 แค่แวะมาเข้าห้องน้ำ อ๊าย ไม่กงไม่กินมันแล้ว” รัศมีโกรธ ผลักจานข้าวออกด้วยความโกรธ
ชายศักดิ์ได้ยินถึงกับอิ่ม รวบช้อนอย่างเซ็งอารมณ์ไปด้วย


ด้านหน้าร้านอาหาร ชายศักดิ์กับรัศมีเดินอย่างเซ็งอารมณ์ออกมาจากร้านจนมาเจอกับพงษ์
“ชายศักดิ์...” พงษ์เรียกขึ้น
“เอ้า...คุณพงษ์ ไปไงมาไงครับเนี่ย” ชายศักดิ์เอ่ย
“จะแวะมาทานข้าวน่ะ โห...นี่เราไม่ได้เจอกันยี่สิบว่าปีได้แล้วนะ” พงษ์ว่า
“นั่นซิครับ เอ้อ...รัศมี นี่คุณพงษ์เพื่อนเก่าแก่ของชั้น เป็นนายหัวอยู่ที่ภูเก็ต” ชายศักดิ์แนะนำ
รัศมียกมือไหว้พงษ์ตามมารยาทแบบไม่มีอารมณ์ร่วม
“นี่รัศมี...ภรรยาผมครับ” ชายศักดิ์แนะนำรัศมีกับพงษ์
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอ้อชายศักดิ์...โทษนะ นี่ได้เจอกับสดศรีบ้างมั้ย” พงษ์ถามขึ้น
“ก็...เจอบ้างครับ เพราะตอนนี้ผมไปเปิดห้างใกล้ๆกับตลาดร่วมใจเกื้อ” ชายศักดิ์ตอบแบบไม่เต็มปาก
“ผมก็ไม่ได้เจอเค้านานแล้ว ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เค้าบินไปกู้เงินถึงภูเก็ตน่ะ” พงษ์ว่า
ชายศักดิ์กับรัศมีถึงกับหูผึ่งเมื่อรู้ว่าสดศรีเป็นหนี้
“นี่ศรีเค้ากู้เงินคุณพงษ์ด้วยเหรอครับ” ชายศักดิ์เอ่ยขึ้น
“โอ๊ย...จะสิบปีได้แล้วมั้ง นี่เค้าก็ให้ผมเก็บโฉนดตลาดไว้เป็นตัวประกันเลยนะ เค้าเกรงใจที่ผมไม่ได้ทำสัญญาหนี้เป็นลายลักษณ์อักษรไว้น่ะ” พงษ์เอ่ยขึ้น
พอได้ยินเรื่องโฉนด ชายศักดิ์กับรัศมียิ่งถึงกับตะลึง ทั้งคู่มองหน้าส่งสัญญาณบางอย่าง
“แต่สดศรีนี่เป็นลูกหนี้ที่เยี่ยมมากนะ โอนเงินให้ผมตรงเวลา ไม่เคยขาดซักงวด”
“เอ่อ...คุณพงษ์คะ ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนมั้ยถ้าเราสองคนจะขอคุยเรื่องสำคัญด้วย” รัศมีเปลี่ยนท่าทีขึ้นมาทันที
พงษ์มองหน้าสองคนด้วยความสงสัย รัศมีกับชายศักดิ์มองกันอย่างมีแผนในใจ

คืนนั้น ชายศักดิ์ รัศมี และพงษ์คุยกันในร้านอาหารด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“อะไรนะ ? นี่พวกคุณจะใช้หนี้ที่เหลือแทนสดศรีเหรอ” พงษ์แปลกใจเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมด
“คือ...เสี่ยเค้าอยากจะชดใช้บาปกรรมที่เคยทิ้งคุณนายสดศรีมาน่ะค่ะ เสี่ยจะพูดอยู่บ่อยๆว่าคุณนายสดศรีคงลำบากน่าดูเวลาที่ไม่มีเสี่ยอยู่ช่วยทำงานด้วย รัศมีในฐานะหัวอกลูกผู้หญิงเหมือนกันก็เข้าใจดีค่ะว่าผู้หญิงตัวคนเดียวที่ต้องแบกรับภาระมากมายมันหนักหนาสาหัสแค่ไหน” รัศมีรีบเล่นละคร
“จนทุกวันนี้รัศมีเค้าก็โทษตัวเองตลอดเวลาน่ะครับว่าไปแย่งผมมาจากสดศรี ผมก็บอกว่าไม่เกี่ยว เป็นเพราะผมกับสดศรีทำบุญกันมาแค่นี้ ที่สำคัญตอนนั้นรัศมีก็กำลังอุ้มท้องศักดิ์ชายลูกของผมอยู่” ชายศักดิ์รีบเสริม
“ผมเข้าใจ...ชีวิตมนุษย์น่ะมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ตอนนี้เห็นคู่คุณรักกันอยู่ดีๆ
แต่บางทีคนใดคนนึงอาจจะซ่อนชู้ไว้ก็ได้” พงษ์เอ่ยขึ้น

อ่านละคร รักเกิดในตลาดสด ตอนที่ 12/2 วันที่ 21 ส.ค. 55

ละคร รักเกิดในตลาดสด บทประพันธ์โดย : นราวดี
ละคร รักเกิดในตลาดสด บทโทรทัศน์โดย : สนุกคิด-สนิทเขียน
ละคร รักเกิดในตลาดสด กำกับการแสดงโดย : พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
ละคร รักเกิดในตลาดสด แนวละคร : โรแมนติก คอมเมดี้ เบาสมองตลกสนุกสนาน
ละคร รักเกิดในตลาดสด ผลิต : บริษัท แอ็คอาร์ต เจเนอเรชั่น จำกัด โดยผู้จัด ธัญญา วชิรบรรจง
ละคร รักเกิดในตลาดสด ออกอากาศ : ทุกวันศุกร์-เสาร์ และวันอาทิตย์
หลังข่าวภาคค่ำ 20.30 น. ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ออกอากาศต่อจากละครเรื่องธรณีนี่นี้ใครครอง
ละคร รักเกิดในตลาดสด เริ่มออกอากาศ ตอนแรกวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม 2555
ที่มา ไทยรัฐ