@.อ่านละคร.นาคี.นางอาย.ดวงใจพิสุทธิ์.@

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 1 วันที่ 30 ส.ค. 55

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 1 วันที่ 30 ส.ค. 55

บรรยากาศกรุงเทพมหานครช่วงเวลาตอนกลางวัน มีแต่ความสับสนวุ่นวาย ทุกชีวิตต่างรีบเร่งแข่งกับเวลา ในขณะที่สภาพการจราจรกลับติดขัดไม่เป็นใจ บนท้องถนนผู้คนเดินกันขวักไขว่ ส่วนในรถไฟฟ้านั้นเล่าผู้โดยสารแออัด ยอมเบียดเสียด เพื่อไปถึงที่หมายทันตามเวลา

ไกลออกมาบริเวณชานเมือง เครื่องบินโดยสารระหว่างประเทศลำหนึ่งกำลังร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ

นักข่าวสาวสวยมาดเท่ กาว หรือ กรรณนรี แต่งตัวทะมัดทะแมงพร้อมลุยทุกเมื่อ กำลังเดินแกมวิ่งอยู่ตรงทางเดินในสนามบินด้วยท่าทีท่าทีกระฉับกระเฉง จังหวะนั้นเธอวิ่งแซงหน้าผู้คนที่ยืนอยู่อย่างเร่งรีบพลางคุยโทรศัพท์ไปด้วยสีหน้าร้อนใจ
“มะยม...บอกพี่จ๋าด้วย ฉันเข้าออฟฟิศตอนนี้ไม่ได้”
ปลายสายคู่สนทนาคือ มะยม เพื่อนซี้ ซึ่งในตอนนั้นอยู่ที่ออฟฟิศหนังสือพิมพ์ที่ทำงานของกาว
“ทำไมล่ะวะกาว” มะยมถามกลับหน้าเหยเก ร้องเสียงหลง
“เก๊าะ...แหล่งข่าวของฉันบอกว่าน้องฟ้า ดาวรุ่งชื่อดังที่มีข่าวว่าเป็นเมียน้อยของเสี่ยวินัย กำลังจะบินตามเสี่ยวินัยไปญี่ปุ่นน่ะสิจ๊ะ” กาวบอก
มะยมได้ฟังก็ตาลุกวาว เนื้อเต้น “โอ้…ถ้าเป็นข่าวนี้บก.พี่จ๋า...คงไม่ว่าอะไรแกหรอก แต่ยังไงฉันว่าพี่จ๋าก็ยังรอคำตอบจากแก เรื่องไปสัมภาษณ์คุณภาพิศอยู่นะ”
ชื่อภาพิศทำให้กาวตาวาวไม่พอใจขึ้นมาแต่พยายามข่มอารมณ์ “บอกพี่จ๋า…แล้วค่อยคุยกัน”
กาววางสายเก็บโทรศัพท์มือถือแล้ววิ่งไปตามทางเดินในสนามบินอย่างร้อนใจ

เวลาเดียวกันสรวง ชายหนุ่มรูปงามเรือนร่างสูงโปร่ง รับกับหน้าตาอันหล่อเหลา เขาเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก และเดินออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้า สรวงสวมชุดสบายๆ แต่ดูเท่ ชายหนุ่มอำพรางตัวด้วยการใส่แว่นตาดำ สวมหมวกขณะลากกระเป๋าออกมาพร้อมกับสาวเปรี้ยว สุขหฤทัย หรือ ฤทัย เสียงเตือนของคุณหญิงสุดา ผู้เป็นมารดา ดังก้องในหัวชายหนุ่ม
“ระวังด้วยนะลูก ถ้านักข่าวรู้ว่าสรวงกลับมาวันนี้ เป็นได้แห่ไปสนามบินแน่”
สรวงกลั้วหัวเราะ “จะมาทำไมครับคุณแม่ ผมไม่ได้สำคัญอะไรซักหน่อย”
สุดาไม่พอใจ “สำคัญสิ เพราะนักข่าวคงอยากรู้ว่าสรวงรู้สึกยังไงที่คุณพ่อยกย่องนังภาพิศเมียน้อยออกหน้าออกตาทัดเทียมกับแม่ขนาดนี้”
พอนึกถึงคำพูดนี้ สีหน้าของสรวงเคร่งเครียดไม่พอใจขึ้นมาทันที พร้อมกันนั้นชายหนุ่มก้มหน้าลงแล้วดึงหมวกลงบังหน้า กวาดตามองรอบๆ อย่างระวังตัว สุขหฤทัยเห็นเข้าก็ถามขึ้น
“มองหาใครหรือคะสรวง”
สรวงตอบโดยไม่ได้สนใจสุขฤทัยเท่าไหร่ “เปล่า”
“ก็น่าจะเปล่าหรอกค่ะ” สุขฤทัยกอดแขนสรวงไว้ บอกอย่างมั่นใจ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“เพราะถ้ามีฤทัยเดินอยู่ข้างๆ สรวงก็ไม่ควรจะมองหาใครอีก”
สรวงเบี่ยงหน้าออกอย่างถือตัว “ฤทัย...ที่นี่ที่สาธารณะ ทำอะไรระวังหน่อย”
สุขฤทัยยิ้มยั่ว พูดเย้า “งั้น...เก๊าะแปลว่า...ถ้าไม่ใช่ที่สาธารณะ...สรวงยินดีจะทำอย่างที่
ฤทัยต้องการใช่มั้ยคะ”
สรวงตำหนิแบบไม่ไว้หน้า “เป็นผู้หญิง พูดจาอะไรน่าเกลียด”
สุขฤทัยไม่สน ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบที่หูสรวงใหม่ “แค่บอกความต้องการของตัวเอง น่า
เกลียดตรงไหนกัน อีกอย่าง...ต่อไป..เราก็จะหมั้นหมายกันอยู่แล้วแค่นี้...ถือว่า…เบาๆ ค่ะสรวงขา” พลางกอดแขนแน่นเข้าไปอีก
สรวงได้แต่ส่ายหน้าระอาใจ

กาววิ่งกระหืดกระหอบมาตามทางเดิน เพ่งมองไปเห็นดาราสาวน้องฟ้ากำลังตรงไปยังเคาน์เตอร์เช็กอินผู้โดยสารขาออกพอดี
“บ๊ะ! น้องฟ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
กาวยิ้มกริ่มยกกล้องขึ้นแอบถ่ายแบบปาปารัสซี่มืออาชีพ ภาพจากคมเลนส์เธอเห็นเสี่ยวินัยเดินมาจากอีกมุม ก่อนจะตรงมาหาฟ้าดาราสาว
กาวตาโต “เสี่ยวินัย อีหรอบนี้ไปด้วยกันแหงๆ เฮ้ย! สับขาหลอกกันนี่หว่า”
กาวยกกล้องขึ้นปรับซูมภาพอย่างแคล่วคล่องก่อนจะถ่ายภาพ น้องฟ้ากับเสี่ยวินัย และกดชัตเตอร์ถี่ยิบ

ขณะนั้นสรวงเดินสวนออกมาพร้อมกับสุขฤทัย โดยที่สุขฤทัยกอดคล้องแขนสรวงอยู่ พร้อมกับเอาหน้าซบลงตรงไหล่สรวง แถมยื่นหน้ามานัวเนียตรงใบหน้าสรวง และจังหวะนั้นสรวงกับสุขฤทัยอยู่ด้านหน้าเป้าหมายของกาวเสี่ยวินัยกับน้องฟ้าโดยบังเอิญ
ภาพในเลนส์กล้องจังหวะที่กาวกด เป็นใบหน้าสรวงมองมาเห็นกาวกำลังถ่ายรูปตนพอดิบพอดี ทั้งกาวและสรวงร้องขึ้นพร้อมๆ กัน
“เฮ้ย!”
“คุณ นี่เดินมาบังฉันทำไม” กาวฉุนต่อว่าทันที
สรวงทั้งโกรธทั้งตกใจ “คุณน่ะสิ มาถ่ายรูปผมทำไม”
กาวงง “ฉันจะถ่ายรูปคุณไปทำไม” พลางปรายตามองสุขฤทัยที่กอดสรวงอยู่ “อ้อ! หรือว่าทำอะไรประเจิดประเจ้อ จนกลัวว่าคนเค้าจะเอารูปไปประจาน”
“คนเป็นแฟนกัน ต่อให้ยืนกอดจูบกันอยู่ตรงนี้ก็ไม่ผิด” จูบที่แก้มสรวงโชว์ “ใช่มั้ย
คะที่รักขา”
“งั้นจะทำอะไรก็เชิญตามสบาย แต่อย่าให้ถึงขั้นลงข่าวหน้าหนึ่งว่า “ผัวหนุ่ม
เมียสาว” ทำ ”อนาจาร” กลางสนามบินก็แล้วกัน”
กาวผลักสรวงออกแล้ววิ่งตามน้องฟ้าไป สรวงโมโหมาก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเธอ!” วิ่งตามกาวไปติดๆ
“สรวงคะ สรวง” ฤทัยขัดใจบ่นอุบ “ตามมันไปทำไม” ก่อนจะหันมาพูดกับตัวเอง “ให้มันลงข่าวแหละดี คนจะได้รู้ ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน!”
สุขฤทัยเลยต้องตามสองคนไปอย่างเสียไม่ได้

กาววิ่งหน้าตั้งตามน้องฟ้ามา กวาดตามองหา ตามมุมต่างๆ ตาแทบปลิ้น แต่ไม่เห็นแม้เงา
กาวชักหงุดหงิด ”น้องฟ้าหายไปไหนแล้ว ปั๊ดโธ่เอ๊ย”
จู่ๆ สรวงวิ่งตามมาทันและคว้าข้อมือของกาวเอาไว้หมับ กาวหันไปมองอย่างตกใจ
“เฮ้ย! คุณ”
“เอากล้องมานี่” สรวงยื้อแย่งกล้องในมือกาว
“จะเอากล้องฉันไปทำไม?” กาวไม่ยอมยื้อคืน
“ก็คุณแอบถ่ายรูปผม เอามานี่” สรวงแย่งมาอีก
“ไม่!” กรรณนรีแย่งคืน
สองคนยื้อแย่งกล้องกันไปมา กาวตั้งใจเบี่ยงตัวหลบ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ากาวเข้าไป
อยู่ในอ้อมกอดของสรวง จังหวะนั้นนิคนักข่าวรุ่นน้องเดินมาอีกมุมเห็นเข้าพอดี
“บ๊ะ!พี่กาว”
ตอนแรกนิคจะวิ่งเข้ามาช่วย แต่กลับเปลี่ยนใจยกกล้องขึ้นถ่ายตามประสานักข่าว สุขฤทัยมาถึงและเห็นเหมือนสองคนกอดกันอยู่
“สรวง” สุขฤทัยแผดเสียง
สรวงและกาวตกใจหันมาตามเสียง สรวงฉวยโอกาสนั้นแย่งกล้องคืนไปได้
กาวร้องลั่น “เฮ้ย! เอาของฉันคืนมานะคุณ” กาวยื้อยุดหมายจะเอาคืน
“ถ้าคุณไม่ได้ถ่ายรูปผม คุณกลัวทำไม”
สรวงเปิดกล้องดูภาพที่ถ่ายในจอภาพ เห็นเป็นใบหน้าของสุขฤทัยนัวเนียอยู่ตรงหน้าสรวง
“นี่ไงรูปผม”
กาวเซ็ง พยายามอธิบาย “ก็แหงล่ะ คุณเดินมาบังหน้าฉัน จะไม่เห็นคุณได้ยังไง”
สรวงไม่เชื่อ “ไม่จริง คุณตั้งใจถ่ายผม”
สุขฤทัยเดินมาเกาะแขนสรวง “เค้าอยากถ่ายก็ช่างเค้าเถอะค่ะ จะไปสนใจทำไม”
“ผมไม่อยากให้คนสร้างกระแส เอาเรื่องของผมไปทำมาหากิน”
กาวโกรธ เริ่มมีอารมณ์กรุ่นๆ “สำคัญตัวผิดแล้วคู้ณ....ภาพหลุดของคนแบบคุณไม่มีใครเค้าอยากดู”
สรวงจ้องหน้ากาวเขม็ง “จำคำนี้ไว้ให้ดี วันหลังจะได้ไม่กลืนน้ำลายตัวเอง”
สรวงเปิดฝาหลังกล้องถอดเอาซิมการ์ดออกมาแล้วหักทิ้งต่อหน้าต่อตา กาวตกใจตาเหลือก
“คุณ...คุณหักซิมฉันทิ้งทำไม?”
สรวงเยาะ พร้อมกับพูดท้าทาย “คนอย่างพวกคุณไว้ใจไม่ได้ ถ้าคิดว่าผมทำเกินกว่าเหตุก็ไปฟ้องเอา” ก่อนจะยื่นกล้องคืนให้กาวแล้วเดินหนี
สุขฤทัยทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนเดินตามสรวงไป
กาวมองกล้องตัวเองใจหายแว้บ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธ ด่าไล่หลังอย่างอารมณ์เสีย

“ไอ้...ไอ้เบื๊อกเอ๊ย!”
กาวกลับเข้าออฟฟิศ เล่าเรื่องราวที่สนามบินระหว่างตนกับสรวงจนจบแล้วยืนหน้าบึ้งอยู่

มะยมร้องเหมือนจะทึ่ง “ว้าว ผู้ชายอะไรแรว๊งส์!”
กาวเสริมอย่างมีอารมณ์ “แรง..แรงมาก เป็นบ้า สำคัญตัวผิด” หันมาพาล เอาเรื่องกับนิค “นายก็อีกคนนิค เห็นทั้งเห็นว่าฉันถูกรังแก ทำไมไม่ออกไปช่วย”
“ตอนแรกก็ว่าจะช่วยเหมือนกัน..แต่วิญญาณนักข่าวมันเข้าสิง เลยแอบถ่ายเจ๊กับหนุ่มคนนั้นดีกว่า...เจ๊ดูนี่...ดูนี่..รูปสวยเปล่า” นิคอวดรูปอย่างภูมิใจ
กาวเหลือบตามอง เห็นเป็นสรวงกอดตัวเอง กาวตาเหลือก
“ลบออกเดี๋ยวนี้เลยนิค ลบออก”
นิคไม่ยอม “ลบทำไม ภาพสวยดีออก อย่างกับคู่ขวัญคู่ใหม่เลย เอ๊! แต่ผมว่า..ผู้ชายคน
นี้หน้าตาคุ้นๆ แฮะ”
กาวยิ้มเยาะ “คุ้นแน่ เพราะเค้าอาจจะเป็นผู้ต้องหาที่หลบหนีการจับกุมของตำรวจอยู่ก็ได้ ถึงได้กลัวการถูกถ่ายรูปขนาดนี้...” พลางยกมือกุมหัว “แต่รูป..รูปของน้องฟ้า รวมทั้งรูปที่ฉันถ่ายเอาไว้ หายไปหมดเลย”
“อดได้ช็อตเด็ดเลยนะกาว ไม่งั้นหนังสือพิมพ์เราลงข่าวพร้อมภาพแบบเอ็กซ์คลูซีฟได้เลย ว่าน้องฟ้า ไปกับเสี่ยวินัยจริงๆ”
“น้องฟ้านี่ก็แปลก เป็นดาราดีๆ ไม่ชอบ ไปเป็นเมียน้อยเค้าทำไม๊?” จ๋าเปรยขึ้น
ยินคำว่าเมียน้อย ดวงตาของกาวฉายแววขมขื่นแบบปิดไม่มิด เหมือนมีปมอะไรบางอย่างในใจ

ค่ำคืนนั้นกาวเปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นห้องทั้งห้องมืดสนิท กาวเดินไปเปิดสวิชท์ไฟด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน หยุดยืนอยู่ตรงนั้นในลักษณะพิงประตูห้อง ดวงตาหม่นหมอง
กาวพยายามสะบัดไล่ความทุกข์กังวลทิ้งไป ก่อนจะเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวตรงราว และเปิดตู้เสื้อผ้าจะหยิบชุดนอน เพื่อไปอาบน้ำ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อกวาดสายตามองไปดูที่พื้นด้านล่าง ภายใต้เงามืดสลัวราง ในตู้ เห็นกรอบรูปอันหนึ่งวางคว่ำหน้าอยู่ เป็นการวางที่ดูก็รู้ว่าอยากเก็บซ่อนมันเอาไว้ไม่อยากเห็น
กาวมองกรอบรูปนั้นอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินหยิบขึ้นมาดูแบบอดใจไม่ได้

เป็นรูปของเกริกตระกองกอดกับนุดีผู้เป็นแม่ โดยที่นุดีอุ้มกาวตอนอายุราว 7 ขวบ ขณะที่แก้วในวัย10 ขวบ จับมือเกริกเอาไว้ ดูเป็นภาพครอบครัวแสนอบอุ่น
กาวมองภาพแล้วน้ำตาคลอ เสียงของมะยมดังก้องในหัว
“ฉันอยากรู้จริงๆ เลย ผู้หญิงที่ไปเป็นเมียน้อยคนคิดอะไรอยู่”

อนิจจา...ที่แท้ ภาพิศ ก็คือ นุดี แม่ของกาว และแก้วนั่นเอง
นุดีเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ภาพิศ และกลายเป็นเมียน้อยของนายพลอารักษ์ ที่สังคมรับรู้ทั่วเมือง!

กาวเพ่งมองภาพภาพิศขณะยังเป็น นุดี เป็นแม่ของตนเอง แล้วพึมพำกับตัวเอง
“นั่นสิ..แม่คิดอะไร...ทำไมถึงต้องทิ้งกาว ไปเป็นเมียน้อย เมียเก็บเค้า”
สีหน้าของกาวมีแต่ความขมขื่นและเจ็บปวดหัวใจ ภาพจำในอดีตผุดขึ้นมาอีกครั้งในห้วงคิด

ครั้งนั้นนุดีหิ้วกระเป๋าจะออกจากบ้าน เกริกวิ่งมากอดรั้งไว้ ที่ด้านหลังแก้วในวัย 10 ขวบ กับกาว วัย 7 ขวบ กอดกันร้องไห้ตกใจ
“นุดี...อย่าทิ้งพี่กับลูกไปเลยนะ พี่สัญญา ต่อไปพี่จะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของชาวบ้านอีก พี่จะไม่ทำอะไรเพื่อชาวบ้านอีก พี่จะสนใจแต่นุดี สนใจแต่ลูก พี่จะทำเพื่อครอบครัวของเรา นะนุดี...นุดีให้โอกาสพี่นะ
“มันเลยจุดนั้นไปแล้วพี่เกริก” นุดีปลดมือเกริกออก
เกริกคราง ไม่เชื่อหู “นุดี”
นุดีเดินออกไป โดยไม่หันกลับมามอง กาวกับแก้วร้องไห้คร่ำครวญ
“แม่..อย่าไปแม่” สองคนร่ำร้องประสานเสียง วิ่งถลาไปกอดแม่ไว้
นุดีปลดมือลูกออก “ปล่อยแม่...” เดินออกไป
กาวกับแก้วเห็นแม่หันหลังเดินจากไป โดยไม่เหลียวกลับมามองอย่างใจดำมาก
สองคนไม่รับรู้สักนิดว่านุดีเดินจากไปด้วยสายตาของคนเจ็บปวดรวดร้าวเสียใจล้นพ้น แต่จำต้องตัดใจ เดินไปโดยไม่ยอมหันกลับมามอง เพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อน

กาวดึงตัวเองออกมาจากภาพจำแสนเจ็บปวด มือของกาวยังคงจับกรอบรูปอยู่ พูดทั้งน้ำตาคลอเบ้าเสียงแผ่วๆ
“แม่ใจดำมาก”
ระหว่างนั้น แก้ว หรือ กาวินทร์ พี่ชายของกาวเดินเข้ามาในห้อง พูดตอกย้ำด้วยคำเดียวกัน “แม่ใจดำจริงๆ”
กาวหันไปมอง “พี่แก้ว”
แก้วพูดเสียงเครือๆ อย่างเจ็บปวด “วันนี้พี่เจอข่าวของแม่อีกแล้ว”
พลางแก้วยื่นหนังสือพิมพ์ให้น้องสาว กาวรับมาดู เห็นภาพภาพิศยืนเคียงข้างกับอารักษ์แบบไม่แคร์สายตาใคร เป็นภาพข่างสังคมที่สองคนออกงานด้วยกัน
“รู้ทั้งรู้ว่าการเป็นเมียน้อย ถูกสังคมประณาม แม่ยังจะมายิ้มสู้กล้องอยู่ได้” ก้าวสะท้อนใจ
แก้วเยาะ “แม่คงมีความสุข และภูมิใจมากที่ได้เป็นเมียน้อย อย่างว่า...นายอารักษ์มันรวย มันมีอำนาจ
“แค่สองคำนี้เองเหรอพี่แก้ว...แม่ถึงได้ทิ้งพ่อ ทิ้งพวกเราไป” กาวเย้ยหยัน
“สำหรับคนที่ไม่รู้จักพอ สองคำนี้มันมีคุณค่าเสมอกาว” แก้วบอก
จังหวะนั้นยินเสียงของเกริกผู้เป็นพ่อร้องไห้ดังแทรกขึ้นมา กาวกับแก้วเหลียวหันไปมองที่ด้านหลังเห็นเกริกที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมยืนร้องไห้คร่ำครวญ
“อย่า...อย่าว่าแม่...พ่อผิดเอง...ผิดที่ดูแลแม่ไม่ได้ ดูแลครอบครัวไม่ได้”
กาวฉุนกึกพูดใส่อารมณ์กับพ่อ “พ่อไม่ต้องเข้าข้างแม่ เพราะสำหรับความเป็นแม่…แม่ไม่ควรทิ้งลูก แต่นี่..” น้ำเสียงของกาวเริ่มสั่นเครือ “แม่เห็นแก่ตัว แม่เลือกความสบาย ทั้งๆ ที่ความสบายของแม่ มันอยู่บนกองไฟ”

ภาพิศยิ่งดูสวยบาดใจมากขึ้นในชุดนอนเนื้อเนียนบาง ขณะเดินมาโอบกอดพลตรีอารักษ์อย่างเอาใจ
“เดี๋ยวภาเตรียมน้ำให้อาบนะคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะภา คืนนี้ผมไม่ค้าง?”
ภาพิศฉงน “ทำไมคะท่าน”
อารักษ์บอกตรงๆ “ลูกของผมกลับมา”
ภาพิศพูดออกมาน้ำเสียงฟังดูขมขื่น “คุณสรวง” แวบหนึ่งนั้นดวงตาของภาพิศเป็นประกายวาววับไม่พอใจ

คืนนั้นสรวงเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ยืนรอพ่อกับแม่อยู่ตรงห้องโถงภายในคฤหาสน์ สักครู่หนึ่งคุณหญิงสุดาก็เดินเข้ามา ยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นลูกชายสุดที่รัก
“สรวง” สุดาโผเข้ากอดสรวงแน่นด้วยความรักและคิดถึง “ทำไมกลับมาวันนี้ล่ะลูก”
สรวงยิ้มร่า “ผมอยากเซอร์ไพร้ส์ คุณแม่ อีกอย่าง อยากสับขาหลอกนักข่าวด้วยครับ…” นึกถึงกาวขึ้นมา น้ำเสียงไม่พอใจ “แต่ก็ยังมีนักข่าวบางคนรู้จนได้ ไปดักรอผมถึงสนามบิน”
จังหวะนายพลอารักษ์เดินเข้ามาพอดี สุดามองสามีอย่างไม่พอใจ สรวงหันไปมอง สุดาพูดเหน็บแนมสามีผ่านทางลูก
“อย่างที่แม่บอก เค้าอยากรู้ไง ว่าสรวงต้องเอาปี๊บคลุมหัวเดินหรือเปล่า ที่พ่อยกย่องเมียน้อยเกินหน้าเกินตาแม่น่ะ”
อารักษ์พูดปรามเสียงเข้ม “คุณหญิง”

ครู่ต่อมา สองคนอยู่ในห้องนอน อารักษ์กระชากแขนสุดาถามอย่างเกรี้ยวกราด
“ลูกเพิ่งกลับมา ทำไมคุณต้องเอาเรื่องแบบนี้ไปบอกลูกด้วย”
สุดาสะบัดมือออก “อายเหรอคะ? คุณทำถึงขนาดนี้ไม่ต้องอายแล้ว คนเค้ารู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าคุณหลงเมียน้อย...ไม่ไว้หน้าฉันไม่พอ ยังกล้าประจานตัวเองอีก”
อารักษ์ขึ้นเสียง “พอแล้ว...จะพูดกันทำไมนักหนา”
สุดาไม่หยุด “พูดให้คุณได้คิดไง แต่ขนาดนี้คุณยังคิดไม่ได้...กลัวล่ะซี้ว่าลูกจะไม่เคารพนับ
ถือ ไม่ต้องกลัว สรวงไม่นับถือคุณอยู่แล้ว เพราะคุณทำร้ายฉัน ได้ยินมั้ยคุณอารักษ์ คุณทำร้ายฉัน”
สุดาตรงเข้ามาทุบตีอารักษ์ด้วยแรงอารมณ์ อารักษ์ปกป้องพัลวัน
อารักษ์ตวาด “หยุดได้แล้ว จะบ้าไปถึงไหน? ผมอยู่กับเค้าเป็นสิบๆ ปี ยังจะหึงจะหวงอีก”
สุดากรีดร้อง “ไม่มีผู้หญิงคนไหนชินหรอกที่ผัวมีเมียน้อยน่ะ
สรวงแอบฟังอยู่หน้าประตูอยู่นานแล้ว ตัดสินใจทุบประตู
“คุณพ่อคุณแม่”
สุดาร้อง “สรวงช่วยแม่ด้วย”
อารักษ์หงุดหงิด เปิดประตูออกมาบอกเสียงเข้ม “ไม่มีอะไรกลับไปห้อง สรวง”
สรวงไม่ยอม “ทำไมจะไม่มีอะไร พ่อทำร้ายแม่”
อารักษ์ถามเสียงเข้ม สีหน้าดุ “ฉันทำอะไร”
“การที่พ่อเอาผู้หญิงคนอื่นมาเหยียบย่ำหัวใจแม่ ยกย่องเค้าออกหน้าออกตา พ่อไม่รู้อีกเหรอครับว่ามันผิด” สรวงว่า
อารักษ์สวนคำ พูดเย้ยหยันอย่างถือดี “ผู้ชายที่รวย และมีอำนาจอย่างฉัน จะมีเมียอีกสี่ซ้าห้าคนก็ไม่ผิด”
“ใช่ครับ...ถ้ารวยและมีอำนาจแต่ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีอยู่ในสามัญสำนึก ก็คงไม่ผิด” สรวงประชด
อารักษ์โกรธจัด “ไอ้สรวง!!” ตบสรวงจนหน้าหัน
สุดาตกใจร้องกรี๊ด “สรวง” โผเข้ากอดสรวง และด่าว่าอารักษ์ “คุณทำร้ายฉันไม่พอ คุณ
ยังมาทำร้ายลูกอีก คุณจะเลวไปถึงไหนคุณอารักษ์”
“ถ้าฉันเลวก็หย่ากับฉันไปเลยสิ....” อารักษ์พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “นี่เธอไม่หย่า...ก็เพราะเธอต้องการเชิดหน้าชูตากับบารมี ความร่ำรวยของฉัน”
สุดาอึ้ง “คุณ”
“ถ้ายังอยากอยู่ในตำแหน่งคุณหญิงของพลตรีอารักษ์ก็หุบปาก แล้วอย่ามายุ่งเรื่องของฉันอีก จำไว้เมียไม่ใช่แม่! ผู้หญิงที่ขึ้นเสียงกับฉันได้ มีแม่เพียงคนเดียว” อารักษ์เดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
สุดาร้องไห้โฮออกมา สรวงกอดปลอบแม่แน่น มองตามพ่อ พูดอย่างมาดหมาย
“ผมก็มีแม่เพียงคนเดียวเหมือนกัน ผมจะกู้ศักดิ์ศรีของแม่กลับคืนมาให้ได้!”

สรวงบอกตัวเองในใจ ด้วยสีหน้าเคียดแค้นชิงชัง

“เธอทำลายครอบครัวฉัน เธอก็จะต้องเจ็บปวดเหมือนกัน ภาพิศ”
ภาพิศจัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งร้านเพชรของตัวเองในห้างสรรพสินค้าในวันต่อมา ระหว่างนั้นภาพิศยืนเคียงกับอารักษ์ใบหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่อารักษ์เป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดร้านเพชรให้ท่ามกลางกองทัพนักข่าวสื่อมวลชนที่มาร่วมทำข่าวกันคับคั่ง รวมทั้งกาว มะยม และนิค

กาวจ้องภาพิศเขม็ง โดยไม่มีใครสังเกตเห็น และทันทีที่ตัดริบบิ้นเสร็จ นักข่าวก็กรูกันเข้าไปหาอารักษ์และภาพิศ ยิงคำถามใส่ไม่ยั้ง
“ทราบมาว่าท่านเปิดร้านนี้ให้คุณภาพิศ” นักข่าวคนแรกเปิดประเด็น
อารักษ์หัวเราะร่า “ก็คุณภาพิศเชิญให้ผมมาเป็นประธานวันนี้ ผมสะดวกพอดีก็เลยมา”
นักข่าวอีกคนซักต่อ “หมายถึงท่านเป็นคนลงทุนให้”
ภาพิศกลั้วหัวเราะก่อนจะตอบเอง “ของภาเองค่ะ แต่ท่านเป็นคนเลือกแหล่งเพชรให้ แล้วก็สอนให้ทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจเพชร ถ้าไม่ได้ท่าน ภาก็คงเปิดร้านไม่ได้”
อารักษ์หัวเราะอย่างเอ็นดู “เล็กน้อยน่าคุณ...” หันมาพูดกับนักข่าว “ถ่ายรูปกันเลยมั้ยครับ เดี๋ยวผมต้องไปงานต่อ”
นักข่าวรวมทั้งกาวเข้ามาถ่ายรูปอารักษ์และภาพิศ กาวถ่ายรูปภาพิศกับ
อารักษ์แบบไม่เต็มใจ
อีกมุมหนึ่งสรวงยืนอยู่กับสุขฤทัย มองมาด้วยดวงตาขมขื่น
สุขฤทัยกระซิบสรวง “ดูยัยภาพิศสิคะสรวง ทำหน้าระรื่น ไม่รู้รึไงว่าคนที่ยืนอยู่แถวนี้ด่ามันหมดแหละว่าเป็นเมียน้อย หน้าด้าน แย่งผัวชาวบ้านเค้าน่ะ ..ฤทัยจะไปจัดการมันให้ค่ะ?” ทำท่าจะเดินไป สรวงฉุดมือไว้
“ไม่ต้อง....ผมไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ผมจะกลับไปทำงาน” สรวงเดินกลับออกไป
“ก็เพราะเป็นผู้ดียังงี้ไง พวกคนชั้นต่ำมันถึงได้ใจ” เดินตามสรวงไปทันที
อารักษ์มองเห็นด้านหลังสรวงลิบๆ อารักษ์มองตามด้วยสีหน้าไม่พอใจ พอถ่ายรูปเสร็จจึงแยกออกไป

สรวงจะเปิดประตูขึ้นรถ อารักษ์เดินตามมา สุขฤทัยหันมามอง แล้วยกมือไหว้ทักทาย
“คุณลุง”
อารักษ์รีบบอก “ฉันมีเรื่องจะพูดกับสรวง”
“งั้น...ไว้เจอกันนะสรวง” สุขฤทัยยกมือไหว้อารักษ์แล้วเดินเลี่ยงไป
อารักษ์พูดกับสรวงเสียงเข้ม “แกมาที่นี่ทำไม?”
“คุณพ่อกลัวว่าผมจะมาทำอะไร....เมียน้อยหรือครับ” สรวงพูดเหน็บ
อารักษ์โกรธจนขึ้นเสียง “ไอ้สรวง”
“ที่นี่ไม่ใช่เขตหวงห้าม ที่ผมจะมาไม่ได้”
“แต่ฉันจะห้าม ไม่ให้แกมาหาเรื่อง มายุ่งเกี่ยวที่ร้านของภาพิศ” อารักษ์พูดเสียงขุ่น
“เพิ่งรู้ว่าคุณพ่อทำงานเป็นรปภ.อีกด้วย...โอเค...ผมจะไม่ยุ่ง ไม่ใช่เพราะมันเป็นเขตหวงห้าม แต่ผมเห็นว่ามันเป็นเขตอภัยทาน ที่คนดีๆ ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับคนไร้ศีลธรรม” สรวงขึ้นรถขับออกไปทันที
“ไอ้สรวง” อารักษ์มองตามสีหน้าโกรธมาก

งานถูกจัดเป็นงานเลี้ยงแบบค็อกเทล นักข่าวและแขกกระจายตัวกันอยู่ตามมุมของตน ที่กลางงานภาพิศยืนคุยกับแฉล้มหน้าระรื่น
“เสน่ห์คุณนี่เหลือร้ายจริงๆ นะ...มัดหัวใจท่านอารักษ์ซะอยู่หมัด ดูซิ...ร้านเพชรออกใหญ่โต ท่านก็ให้คุณได้ ให้แบบไม่ไว้หน้าคุณหญิงที่บ้านเลย ฮึ! คงได้แต่กอดทะเบียนสมรส” แฉล้มว่า
ภาพิศยิ้มเยื้อนหัวเราะระรื่น “แต่ซักวัน...ทะเบียนสมรสก็จะไม่ได้กอดค่ะ”
แฉล้มฉงน “แปลว่า...”
“ฉันจะเป็นคนถือทะเบียนสมรสไว้เอง”
ภาพิศยิ้มมั่นใจ แฉล้มยิ้มทำหน้าทึ่งๆ กลุ่มกาวยืนอยู่ มะยมเอ่ยขึ้นขณะมองไป
“เป็นเมียน้อยเค้ายังทำหน้าระรื่น ทำอย่างนี้คุณภาพิศไม่กลัวคุณหญิงสุดาฟ้องร้องเอารึไง?”
“คุณหญิงสุดาเค้าเป็นผู้ดี เค้าไม่กล้าฟ้องร้องหรอก ผัวมีเมียน้อยมันน่าอาย” นิคอวดรู้
“งั้นคุณภาพิศก็หน้าด้านสิ” มะยมว่า
กาว สะอึก ความเจ็บปวดแล่นมาจุกที่คอหอย นิคว่าซ้ำอย่างเมามันส์
“ก็คงใช่มั้ง? ผู้หญิงบางคนเป็นโรคจิต ชอบเอาชนะ ยิ่งท่านอารักษ์พาออกงานยังงี้ เค้ายิ่งภูมิใจ คิดว่าตัวเองเจ๋งน่ะ”
“เป็นผู้หญิงหรือไง ถึงได้รู้ความรู้สึกผู้หญิงขนาดนี้น่ะ” กาวแดกดันก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา
นิคเดินตามจ้อต่อ “โห…พูดตามเนื้อผ้าว่ะเจ๊...ถ้ามียางอายซักนิด ใครจะกล้าทำ
อย่างนี้ นี่ดูสิ...หน้าคุณภาพิศ ภูมิใจจะตายไป”
“ภูมิใจที่เป็นเมียน้อยเค้านี่นะ? หน้าด้าน! เกลียดจริงจริ้งพวกเมียน้อยเนี่ย” มะยมว่าผสมโรง
“เฮ้อ! แกสองคนเป็นไรเนี่ย เมียหลวงกับเมียน้อยเค้ายังไม่เห็นออกมาด่ากัน แล้วพวกแกจะเดือดร้อนแทนทำไม?” กาวหงุดหงิด
มะยมหัวเราะ “ก็เรื่องชาวบ้านเป็นงานของเรา...แต่จะว่าคุณหญิงสุดาไม่เดือดร้อนก็ไม่ได้หรอก...แกดูนั่นสิกาว”
มะยมบุ้ยใบ้ไปทางหนึ่ง กาวหันไปมองตาม เห็นสุดาเดินมา
นิคพึมพำเบาๆ “โอ้! รังสีอำมหิต พุ่งออกมาเลยวุ้ย”
สุดาเดินมาเผชิญหน้ากับภาพิศ ผู้หญิงสองคนมองหน้าสู้สายตากันอย่างท้าทาย

อ่านละคร ไฟมาร ตอนที่ 1 วันที่ 30 ส.ค. 55

ละครเรื่อง ไฟมาร บทประพันธ์โดย : เกตุวดี
ละครเรื่อง ไฟมาร บทโทรทัศน์โดย : พนิดา
ละครเรื่อง ไฟมาร กำกับการแสดง : -
ละครเรื่อง ไฟมาร ผลิตโดย : บริษัทดาราวิดีโอ จำกัด
ละครเรื่อง ไฟมาร แนวละคร : ดราม่าเข้มข้น
ละครเรื่อง ไฟมาร ออกอากาศ : พุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา manager